วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เข้าพรรษานี้อย่าลืมดูแลสุขภาพตัวเองด้วยน่ะค่ะ

            เริ่มต้นเดือนกรกฎาคม รู้สึกว่ามีวันหยุดยาวน่ะค่ะ บางคนก็เตรียมตัวสอบ บางคนก็กับบ้าน กลับไปหาคนที่รักบางคนต้องขับเรถ ขับเรือ ก็เตรียมตัวให้พร้อม เข้าพรรษา เมาอย่าขับน่ะค่ะ ยังไงก็ขอให้เดินทางปลอดภัย กลับไปพบคนที่รออยู่ทางบ้านโดยสวัสดิภาพน่ะค่ะ 
เป็นกำลังใจให้
             รักษาตัว  รักษาสุขภาพตัวเองด้วยน่ะค่ะ
      จากคนไกลบ้าน^^

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

“เฉาก๊วย” เด้งดึ๋งหนึบหนับคลายร้อน





ของหวานสีดำๆ เด้งดึงที่เคี้ยวหนึบหนับ และมีรสหวานจากน้ำเชื่อม รวมถึงความเย็นฉ่ำจากน้ำแข็งที่ใส่ผสมลงไป ทำให้ “เฉาก๊วย” นั้นกลายเป็นหนึ่งในของหวานยอดฮิตในช่วงหน้าร้อนมากๆ แบบนี้ แต่นอกจากความหวานเย็นที่กินแล้วสดชื่นขึ้นมาในทันใด เฉาก๊วยก็ยังมีสรรพคุณอื่นๆ ที่ช่วยบำรุงร่างกายอีกด้วย
       
       เฉาก๊วยแท้ๆ จะทำมาจากต้นเฉาก๊วย ซึ่งเป็นพืชชนิดหนึ่งในตระกูลเดียวกับมินต์ (พืชจำพวกสะระแหน่) พบได้มากในประเทศจีน จึงทำให้ขนมเฉาก๊วยมีที่มาจากเมืองจีน และมีชื่อเรียกเป็นภาษาจีน (แต้จิ๋ว) แต่ก็ยังมีการเรียกที่แตกต่างกันออกไปตามภาษาถิ่นอีกด้วย อาทิ ในภาษาจีนกลางจะเรียกว่า เหลียงเฝิ่น หรือ เซียนเฉ่า ที่แปลว่าหญ้าเทวดา ขณะที่ชาวมาเลย์จะเรียกว่า จินเจา เป็นต้น ส่วนภาษาไทยเราก็เรียกว่า เฉาก๊วย ตามอย่างภาษาจีนแต้จิ๋ว
       
       ความหนึบหนับของเฉาก๊วยนั้นมาจากกรรมวิธีการผลิตที่เริ่มจากนำต้นเฉาก๊วยแห้งมาต้มกับน้ำ จนยางไม้และแพคตินละลายออกมาได้น้ำสีน้ำตาลดำ (ปัจจุบันบางร้านอาจมีการใส่สีลงไปผสมเพิ่มเติมเพื่อความสวยงาม) จากนั้นกรองเอาแต่น้ำแล้วนำไปผสมกับแป้ง ซึ่งตามตำรับโบราณนิยมใช้แป้งท้าวยายม่อม และแป้งมันสำปะหลัง ตามสัดส่วนหรือตามสูตรของแต่ละคน ซึ่งจะทำให้ได้ความเหนียวหนึบนุ่มนิ่มที่แตกต่างกัน นิยมกินคู่กับน้ำตาลทรายแดง น้ำเชื่อม หรือจะใส่ส่วนผสมอื่นๆ ลงไปตามแต่ความชอบ
       
       สรรพคุณของเฉาก๊วยที่เรารู้กันดีอยู่แล้วก็คือ ช่วยแก้ร้อนในกระหายน้ำ นอกจากนี้แล้วยังช่วยขับเสมหะ แก้คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ช่วยลดไข้ แก้ตัวร้อน ร้อนใน ลดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ ลดอาการตับอักเสบ ลดอาการไขข้ออักเสบ และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด หรือหากว่านำเฉาก๊วยมาต้มให้เดือดแล้วนำน้ำเฉาก๊วยมาดื่มเป็นประจำจะช่วยลดอาการโรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน แต่ข้อควรระวังก็คือ น้ำตาลที่ใส่ผสมลงไปเพื่อให้มีรสชาติเพิ่มขึ้นนั้นต้องไม่มากเกินไปด้วย เพราะแทนที่จะได้ประโยชน์ อาจจะได้ผลเสียจากการบริโภคน้ำตาลมากเกินไปได้



ที่มา      http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7099.0.html                                                                     

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สูตรสุขภาพชีวิต





เรียกสูตรนี้ว่าเป็น Lifebook หรือเป็น “ตำราแห่งชีวิต” ซึ่งเหมาะเจาะกับเนื้อหาและคำแนะนำที่น่าสนใจยิ่ง ทั้งง่ายและตรงไปตรงมา, ใครจะทำก็ได้, ไม่ทำก็ได้, เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล, ไม่บังคับยัดเยียดกัน, ไม่ต่อว่าต่อขานกัน, แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไรให้กับชีวิตของตนเอง, ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุนสมควรจะให้กำลังใจแก่กันและกันอย่างยิ่ง

สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้

๑. ดื่มน้ำให้มาก 
๒. กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น, ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆ ตอนเที่ยงและตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ) 
๓. กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน 
๔. ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ 
๕. หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ 
๖. เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย 
๗. อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา 
๘. นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้ 
๙. นอนวันละ 7 ชั่วโมง 
๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะดวก,ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน, ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน 
๑๑.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม 

นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร, ชีวิตก็จะแจ่มใส,แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลาของตนเอาไว้

วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้

แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน



ที่มา http://www.baanmaha.com/community/thread34067.html

“ไวรัส” เหตุอ้วนวัยเด็ก



         นัก วิจัยสหรัฐศึกษาพบไวรัสคล้ายไวรัสหวัด เป็นอีกสาเหตุของ “อ้วนในวัยเด็ก” ชี้ไวรัสมุ่งโจมตีเซลล์ไขมัน ทำให้เพิ่มจำนวนอย่างทวีคูณและเป็นที่มาของน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
         นัก วิจัยมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียของสหรัฐ ศึกษาพบสิ่งที่สะท้อนว่าการบริโภคอาหารมากเกินไปไม่ได้เป็นเพียงปัจจัยเดียว ของภาวะอ้วนในวัยเด็ก แต่เกิดจากไวรัสคล้ายไวรัสหวัด ที่มีชื่อเรียกว่า อดีโนไวรัส-36 (Adenovirus-36) ได้ด้วย ซึ่งโดยปรกติทำให้เกิดอาการไข้หวัด
          เป็น ที่ทราบกันดีว่าหลังติดเชื้อไวรัสดังกล่าว มักทำให้มีอาการเจ็บคอและจาม อีกทั้งยังสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายผ่านมือสกปรกของเด็กๆ แต่การศึกษาล่าสุดพบว่า ไวรัสมุ่งโจมตีเซลล์ไขมันด้วยเช่นกัน โดยทำให้เพิ่มจำนวนอย่างทวีคูณ และเป็นที่มาของน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
          ในการศึกษานักวิจัยตรวจสอบเด็กและวัยรุ่นอายุ 8-18 ปี เพื่อตรวจสอบแอนติบอดีที่ระบบภูมิคุ้มกันสร้างขึ้นเมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัสอดีโนไวรัส-36 และได้พบแอนติบอดีดังกล่าวในเด็กที่มีรูปร่างอ้วน 15 คน จาก 67 คน เปรียบเทียบกับที่พบเพียง 4 คนใน 57 คน ในกลุ่มหนุ่มสาวที่ไม่อ้วน โดยเด็กที่ได้รับเชื้อไวรัสดังกล่าวมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 50 ปอนด์
          การ ค้นพบนี้นับว่าเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพิ่มเติมที่ว่า ความอ้วนเป็นโรคหรือความเจ็บป่วยอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อไวรัส ได้ด้วย ไม่ได้เกิดจากรูปแบบการใช้ชีวิตเพียงอย่างเดียว เช่น การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์และไม่ออกกำลังกาย เพียงแต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าความอ้วนที่เกิดขึ้นจากแต่ละสาเหตุ มีสัดส่วนเท่าไรในโลกตะวันตก
        ทั้งนี้ เฉพาะในอังกฤษมีประชาชนที่เข้าข่ายอ้วนประมาณ 20 ล้านคน และมี 12 ล้านคน อยู่ระหว่างเข้าคอร์สลดความอ้วน และเป็นไปได้ว่าภายในปี 2020 ผู้ใหญ่ราว 1 ใน 3 และเด็กๆ ประมาณครึ่งหนึ่งของอังกฤษจะกลายเป็นคนอ้วน

ที่มา http://health.deedeejang.com/5/2276.html

วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ล้างหน้าถูกวิธีรึป่าว.......



สาว ๆ เราล้างหน้ากันอยู่ทุกวัน แต่แน่ใจแค่ไหนว่าคุณล้างหน้าได้ถูกวิธี ขอแนะวิธีการทำความสะอาดผิวที่ถูกต้อง ตั้งแต่การใช้ผลิตภัณฑ์

        Cleansing ให้นวดทาทิ้งไว้ 30 วินาที - 1 นาที เพื่อให้ตัวครีมละลายสิ่งสกปรก เครื่องสำอาง คราบไขมันอุดตันได้อย่างทั่วถึง จากนั้นเริ่มต้นการล้างทำความสะอาด ควรล้างหน้าใบเบาบางที่สุด ไม่ขัดถูแรง ๆ เพราะจะทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย

        อย่าใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้ง เพราะจะมีแรงกดมาก ใช้เพียงนิ้วกลางและนิ้วนางโดยเริ่มหมุนนิ้วออกเป็นวงกลม เริ่มจากบริเวณคาง คลึงนวดเบา ๆ ไล่ขึ้นไปตามแก้ม ไล่จากบริเวณจุดกลางไปตามลายกล้ามเนื้อออกไปทางด้านข้าง ไล่ขึ้นไปที่หน้าผาก เป็นการต้านแรงโน้มถ่วงของโลก เน้นบริเวณร่องจมูกที่ทำความสะอาดได้ยากเพื่อป้องกันการเกิดสิวเสี้ยน 

        ส่วนวิธีการล้างออกนั้น ให้วักน้ำขึ้นมาแปะผิวหน้า ลูบเบา ๆ ห้ามถู เพราะจะทำให้เกิดริ้วรอยเช่นกัน ล้างด้วยน้ำสะอาดจนมั่นใจว่าไม่มีสิ่งสกปรกตกค้าง



ที่มาhttp://women.kapook.com/view44277.html

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เคล็ดลับการดูแลสุขภาพเท้า





'สุขภาพเท้า' เรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม 

เท้าเป็นอวัยวะสำคัญที่หลาย ๆ คนมักลืมไปว่าต้องให้การดูแลเป็นพิเศษ เพราะแค่เป็นตาปลาหรือเล็บขบก็อาจลุกลามเป็นปัญหาใหญ่โตได้ 


วิธีสังเกตเท้าว่ายังมีสุขภาพดีหรือเปล่า ให้พิจารณาเรื่องต่อไปนี้

1.อาการปวด เท้าปกติจะไม่ปวด ถ้าปวดแสดงว่ามีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง 
หากท่านมีอาการดังต่อไปนี้ให้พบแพทย์ 
- ปวดต่อเนื่องมากกว่า 72 ชั่วโมง 
- บวมเท้าข้างหนึ่งหรือ สองข้างมากกว่า 24 ชม. 
- ปวดเท้าเวลาเดินหรือวิ่ง 
- ปวดเท้าขณะพักหรือเวลายกขา 

2.การไหลเวียนของเลือดบริเวณเท้า โดยการดูว่าสีของผิวหนังมีสีคล้ำๆ แสดงว่าอาจจะเกิดจากเลือด
ไปเลี้ยงที่เท้าไม่พอ ตรวจสีผิวของนิ้วเท้าหากมีเลือดไหลเวียนปกตินิ้วจะมีสีชมพูและอุ่น หากเท้าขาดเลือดผิวจะมีสีคล้ำและเท้าจะเย็น 

3.การเคลื่อนไหวของนิ้วเท้า ลองใช้นิ้วเท้าคีบผ้าบนพื้น หากทำได้แสดงว่านิ้วเท้ายังมีการเคลื่อนไหวที่ปกติดี

4.การทรงตัว โดยการยืนเท้าข้างเดียวและให้หลับตา หากอายุน้อยกว่า 30 ปีจะยืนได้นาน 15 วินาที หากอายุ 30-40 ปีจะยืนได้นาน 12 วินาที อายุ 40-50 ปีจะยืนได้นาน 10 วินาทีและอายุมากกว่า 50 ปีจะยืนได้นาน 7 วินาที การทรงตัวนี้หากบริหารจะทำให้ยืนได้นานขึ้น 

12 เคล็ดลับการดูแลเท้า 


1. ควรล้างเท้าด้วยน้ำสบู่อุ่น ๆ ประมาณ 10 นาที ซึ่งจะทำให้ผิวหนังนุ่ม แต่อย่าขัดหรือถู หรือแช่น้ำเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้ผิวหนังแห้ง 
2. ควรเช็ดเท้าให้แห้ง โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วต้องให้แห้งจริง ๆ 
3. ดูแลเท้าไม่ให้มีรอยฟกช้ำหรือบาดแผล ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการเลือกรองเท้าที่ไม่เหมาะกับเท้า 
4. วิธีป้องกันเล็บขบ ต้องตับเล็บโดยตัดตรงไม่ตัดตามความโค้งของนิ้ว และไม่ควรตัดเล็บให้สั้นเกินไป และตะไบเล็บทุกครั้งหลังตัดเล็บ 
5. การใส่ครีมบำรุงที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังและรอยต่อของเล็บกับผิวหนังและเท้าสามารถทำได้ แต่ ห้ามทาครีมบริเวณซอกนิ้ว จำไว้ว่าซอกนิ้วต้องให้แห้งเสมอ 
6. ถ้านิ้วเท้ามีอาการบวมขึ้น แข็งขึ้นหรือรู้สึกคันบริเวณนิ้วเท้า นั่นอาจเป็นอาการของการติดเชื้อราบนผิวหนัง ควรไปพบแพทย์แต่เนิ่น ๆ 
7. สำหรับผู้ที่ทาเล็บก่อนทาเล็บให้ล้างเล็บด้วยน้ำยาล้างเล็บก่อน 
8. อย่าละเลยหากมีอาการปวดที่เท้าเนื่องจากโรคบางอย่างสามารถป้องกันและรักษาได้หากปล่อยทิ้งไว้อาจจะทำให้เกิดความผิดปกติตามมาในภายหลัง 
9. ให้ตรวจเท้าเป็นประจำโดยสังเกตสีผิว อุณหภูมิของเท้า 
10. เลือกรองเท้าให้เหมาะกับชนิดกีฬาที่จะเล่น และเลือกขนาดที่พอดีกับเท้า 
11. ไม่เดินเท้าเปล่าเพราะอาจจะเกิดอุบัติเหตุ 
12. หากไปเที่ยวชายทะเลต้องทาครีมกันแดดที่หลังเท้าด้วย



ที่มา http://www.oknation.net/blog/print.php?id=150822

การดูแลสุขภาพที่ดี เริ่มต้นด้วยโภชนาการที่ถูกต้อง

         การดูแลสุขภาพที่ดี เริ่มต้นด้วยโภชนาการที่ถูกต้อง 
การกินอาหารให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการคือพื้นฐานสำคัญของการมีสุขภาพดี แต่ในปัจจุบันเรามักนิยมบริโภคอาหารตามฝรั่ง ซึ่งเน้นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนม แป้งและน้ำตาลบริสุทธิ์ ตลอดจนอาหารแปรรูปต่าง ๆ 
          ทั้งที่อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญของความเจ็บป่วยที่พบได้บ่อย ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไขข้ออักเสบ ปัญหาเกี่ยวกับทางเดินอาหาร กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน หรือการเป็นหวัดบ่อย ๆ 
วิธีปฏิบัติเพื่อการกินที่ดีมีอยู่ว่า
         กินผักสดและผลไม้เป็นประจำทุกวันโดยเลือกให้ได้ 5 ชนิดและสีสันให้มากที่สุดและต้องมั่นใจเรื่องความสะอาดและปลอดสารเคมีตกค้าง        กินอาหารปรุงแต่งน้อยที่สุด เช่น ผงชูรส สารกันบูด สีปรุงแต่งซึ่งจะมีมากมายในอาหารปรุงรสและหลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านกระบวนการขัดสี หรือแปรรูป เช่น น้ำตาลและข้าว       ควรซื้ออาหารครั้งละแต่พอกิน อย่าซื้อเก็บ มิฉะนั้นคุณค่าทางอาหารจะลดลงเรื่อย ๆควรทานอาหารแต่ละมื้อให้ครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสมสม่ำเสมอเป็นประจำ





ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร


         ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ให้คุณสมบัติเรื่องสารอาหารครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการในปริมาณที่เหมาะสม และมีความสะอาดและปลอดภัย และยังผลิตจากพืชภัณฑ์ธรรมชาติ อาจเป็นทางเลือกใหม่ให้กับคนที่ต้องการให้ตนเองและคนที่รักในครอบครัวมีสุขภาพดีที่สุด แต่อาจไม่มีเวลามากพอเพราะความเร่งรีบในชีวิตประจำวัน และความยุ่งยากในการคำนวณปริมาณสารอาหารให้พอเหมาะกับทุกคนในครอบครัว ผลิตภัณฑ์ที่รับประทานง่ายพกพาสะดวก และมีรสชาติอร่อย เหมาะกับบุคคลทุกเพศทุกวัยที่ต้องการมีสุขภาพที่ดีเนื่องจากโภชนาการที่ถูกต้อง


ดื่มน้ำเท่าไหร่จึงจะพอ? 
โดยเฉลี่ยควรดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีน้ำหนักเกินควรดื่มน้ำเพิ่มมากขึ้นอีก และจะต้องเพิ่มขึ้นอีกหากคนๆ นั้น ชอบออกกำลังกาย หรืออยู่ในที่ๆมีอากาศร้อน หรือแห้ง น้ำเย็นจะถูกดูดซึมในร่างกายได้เร็วกว่าน้ำอุ่น บางหลักฐานแนะนำว่า การดื่มน้ำเย็นจะช่วยเผาผลาญแคลลอรี่ ในการที่จะใช้ประโยชน์จากการดื่มน้ำเพิ่อช่วยในการลดน้ำหนักให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดควรปฏิบัติดังนี้


เช้า: ดื่มน้ำหนึ่งควอต ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง


บ่าย: ดื่มน้ำหนึ่งควอต ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง


เย็น: ดื่มน้ำหนึ่งควอต ระหว่างเวลา 5 โมงเย็น ถึง 2 ทุ่ม


         เมื่อร่างกายได้รับน้ำ มันจะต้องหน้าที่อย่างเต็มที่ ร่างกายจำเป็นต้องรักษาระดับของของเหลวให้สมดุลย์ไว้ ซึ่งเรียกว่า "breakthrough Point" ซึ่งหมายถึง ต่อมเอ็นโดซีนจะสามารถทำงานได้ดีขึ้น เมื่อการรักษาระดับของเหลวในร่างกายเบาบางลงเนื่องจากสูญเสียน้ำ ไขมันจำนวนมากจะถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง เนื่องจากตับมีอิสระในการทำหน้าที่เผาผลาญไขมันที่สะสม ทำให้เกิดความรู้สึกกระหายน้ำ รู้สึกหิวตลอดเวลา 


หากคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอ?
จะทำให้เกิดการขาดความสมดุลย์ในการรักษาระดับของเหลวในร่างกาย ซึ่งจะทำให้คุณมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยไม่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร เพื่อกลับคืนสู่สภาพปกติคุณจะต้องดื่มน้ำจำนวนมากขึ้น 


การดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว จะช่วยให้ปริมาณไขมันในร่างกายลดลง


อาจเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่น้ำจะเป็นสิ่งสำคัญที่มีส่วนช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะต้องดื่มน้ำเพราะความจำเป็น แต่ในความเป็นจริง น้ำ เป็น "อาหารอันวิเศษ" ที่ช่วยในการดูแลรูปลักษณ์อย่างถาวร


น้ำจะช่วยในการระงับความอยากอาหาร และช่วยร่างกายเร่งการเผาผลาญไขมัน จากรายงานการวิจัยพบว่า การดื่มน้ำน้อยจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดการสะสมของไขมันมากขึ้น หากดื่มน้ำมากจะช่วยในการลดการสะสมของไขมันลงได้


ต้องทานน้ำเพื่อให้ไตทำงาน


ไตไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหากเราทานน้ำไม่เพียงพอ เมื่อไตไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ตับก็จะเป็นตัวที่ทำงานหนักขึ้น หน้าที่หลักของตับคือ ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันที่สะสมในร่างกายให้เกิดเป็นพลังงาน แต่ตับต้องมาทำหน้าที่ของไต ทำให้มันไม่สามารถทำหน้าที่หลักได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เกิดการเผาผลาญไขมันได้น้อยลง และยิ่งเพิ่มการสะสมไขมันในร่างกายมากขึ้น และทำให้การดูแลรูปลักษณ์หยุดชะงักลง

โยคะท่าพื้นฐาน

ท่าเล่นพื้นฐานของการเล่นโยคะ

ท่ายืน
คนส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับการยืน บางคนลงน้ำหนักส่วนใดส่วนหนึ่งของเท้า แอ่นพุ่งไปข้างหน้า หลังโก่งทำให้เสียทรวดทรง การฝึกโยคะในท่ายืนจะช่วยลดอาการปวดหลังและทำให้ทรวดทรงดีขึ้น

 

ท่ากลับศีรษะลง เท้าชี้ขึ้น
การฝึกท่านี้จะทำให้เลือดไปเลี้ยงศีรษะเพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องระวังในคนที่อ้วน ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน การฝึกท่าเหล่านี้อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ผู้ที่มีความดันสูงหรือต่ำ ผู้ที่เป็นต้อกระจกไม่ควรฝึกท่าเหล่านี้

 

ท่านั่ง
การฝึกท่านั่งมีด้วยกันหลายท่า มีตั้งแต่ง่ายจนยาก ท่านไม่จำเป็นต้องทำทุกท่า ควรจะเลือกท่าที่เหมาะสมกับตัวเอง

 

ท่านอนหงาย
ท่านอนหงายเป็นท่าทำได้ไม่ยาก การฝึกจะทำให้ได้ผลดีต่อร่างกาย กระตุ้นอวัยวะในช่องท้อง ลดอาการปวดประจำเดือน ลดอาการปวดหลัง

 

ท่านอนคว่ำ
ท่านอนคว่ำมีวิธีเริ่มต้นอาจจะแตกต่างกัน บางท่าเริ่มจากนอนคว่ำ บางท่าเริ่มจากการคลาน แต่โดยรวมลำตัวต้องอยู่ในท่าคว่ำ คออาจจะเงย ก้มลงหรือขนานกับพื้น จะมีประโยชน์ในการทำให้กล้ามเนื้อหลังแข็งรง

วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ออกกำลังหนักช่วงสั้นๆ หนีโรคหัวใจ




ผู้เชี่ยวชาญการออกกำลัง แนะให้ใช้การทุ่มออกกำลังอย่างเอาจริงเอาจัง ทุกๆ 2-3 วัน จะสามารถหนีพ้นจากโรคเบาหวานชนิดที่ 2 กับโรคหัวใจได้ไกล

          ศาสตราจารย์เจมส์ ทิมมอนส์ อาจารย์วิชาการออกกำลังทางชีววิทยา มหาวิทยาลัยเฮเรียต-วัตต์ที่อเมริกา กล่าวว่า คนเราควรจะหันมาเอาใจใส่ ในการออกกำลังอย่างหนักในช่วงเวลา 2-3 นาที และได้เสนอให้ปั่นจักรยานออกกำลังอย่างเอาจริงเอาจัง พักละครึ่งนาที 4 พัก อาทิตย์ละ 3 หน โดยได้บอกว่า คนเราจะสามารถ ตัดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจและเบาหวานลงได้เองอย่างมากมาย หากออกกำลังอย่างเอาจริงเอาจัง

           เขาได้รายงานผลการศึกษาในวารสารวิชาการ” โรคของต่อมไร้ท่อผิดปกติ” ว่า ได้ให้อาสาสมัครออกกำลังด้วยการให้ปั่นจักรยานออกกำลังอย่างเร็ว ครั้งละ 30 วินาที 4 พัก ในช่วงเวลา 2 อาทิตย์ ปรากฏผลว่าอินซูลินในตัวพวกเขาทำงานดีขึ้นกว่าเก่าถึงร้อยละ 23 เขาเห็นว่าแม้ว่าการวิจัยมุ่งเฉพาะแต่กับคนหนุ่ม แต่ก็เห็นว่าคงเป็นผลดีกับคนทุกเพศทุกวัยด้วยกัน และมันยังให้ผลเหนือกว่า การวิ่งวันละ 1 ชม.” แบบเดิมด้วย


ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เคล็ดลับสุขภาพ การเลือกอาหารว่างที่มีประโยชน์


สุขภาพ
          คุณคิดว่าอะไรคือตัวกำหนดว่าอาหารว่างที่คุณทานอยู่นั้นมีประโยชน์ ? อาหารว่างที่ดีมักประกอบได้ด้วย ไฟเบอร์ โปรตีน และไขมันที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งไม่มีน้ำตาลในปริมาณสูง ไขมันอิ่มตัว และสารสังเคราะห์ 
          ผลไม้ปลอดสารพิษและถั่วดิบนี่แหละที่เหมาะสำหรับประทังความหิว บำรุงสมอง และช่วยให้พลังงาน ถือว่าเป็นอาหารว่างที่มีคุณค่ามากอย่างถ้าคุณจะเลือกรับประทานอาหารว่าง เพื่อการลดน้ำหนัก รวมทั้งยังเป็นอาหารว่างที่สามารถทานเล่นได้เรื่อย ๆ ตลอดทั้งวันและคุณไม่ต้องกังวลเรื่องสุขภาพอีกด้วย

          แม้ว่าผล ไม้อบแห้งจะเป็นอาหารว่างที่มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่ผลไม้อบแห้งอาจให้โทษได้เช่นกัน ถ้าคุณบริโภคมากเกินไป เนื่องจากในผลไม้อบแห้งนั้นมีปริมาณน้ำตาลสูง ซึ่งถ้าคุณหวังที่จะลดน้ำหนักละก็ คุณควรหันมาสนใจที่ผักสดปลอดสารพิษดีกว่า

          นอกจากผลไม้และอาหารจำพวกถั่วที่สามารถเป็นทางเลือกใช้บริโภคเป็นอาหารเพื่อสุขภาพได้อย่างหลากหลายแล้วผลิตภัณฑ์ จำพวกโยเกิร์ตก็ถือว่าเป็นอาหารที่เหมาะอย่างยิ่ง โดยโยเกิร์ตนั้นจะมีส่วนประกอบของผลไม้หลากหลายชนิด และผลเบอร์รี่ที่ผู้คนชอบทานกัน หรืออย่างเนยแข็งคอทเทจที่ผสมกับผลไม้ ก็เป็นอาหารที่ดีเยี่ยมเพราะอุดมด้วยโปรตีน และวิตามิน
       
          ขนมปังที่ทำจากข้าวไรย์ ก็เป็นอาหารที่ดีเช่นกัน ซึ่งอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรตที่ช่วยให้พลังงานและบรรเทาอาการหิว ลองนำเนยถั่ว 1 ช้อนชา มาทากินกับขนมปังไรย์ ตามด้วยกล้วยอีกสัก 1 ลูก ก็นับว่าเป็นอาหารว่างที่มีโปรตีนสูงและแคลอรี่ไม่มากจนเกินไป

          การไม่ใช้น้ำมันทอดข้าวโพดคั่วในยามที่ทำกินเองที่บ้าน นับเป็นวิธีการปรุงอาหารที่ดีเช่นกัน เพราะเมื่อ ไม่ใช้น้ำมันในการทอด ข้าวโพดคั่วก็จะมีปริมาณแคลอรี่เพียง 100 เท่านั้น แต่ถ้าคุณใส่น้ำมันล่ะก็จะกลายเป็นของว่างที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายทันที โดยไฟเบอร์ในข้าวโพดคั่วจะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มจนถึงมื้อเย็นเลยทีเดียว
         
          สลัด เป็นอาหารว่างที่มีคุณค่าสูงสุดเลยก็ว่าได้ ถ้าคุณใช้เครื่องปรุงและวัตถุดิบที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย โดยสิ่งที่คุณใส่ไปในสลัดของคุณต้องไม่มีปริมาณน้ำตาลมากเกินไป ในกรณีของ สลัดผลไม้ ใส่น้ำมันเยอะ ๆ หรือสิ่งที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ ใช้น้ำมะนาว หรือน้ำส้มสายชูชนิดต่าง ๆ และน้ำมันมะกอกดี ๆ ในการทำสลัดดีกว่า

          จริง ๆ แล้ว แฮมเบอร์เกอร์ หรือแซนด์วิชไขมันต่ำ ก็สามารถเป็นอาหารว่างที่มีประโยชน์ได้ ถ้าคุณปรุงได้อย่างถูกต้อง หั่นขนมปังโฮลวีตบาง ๆ วางด้วยเนื้อหมูหรือเนื้อไก่ ผักสลัด ผักกาดหอม มะเขือเทศ พริกหั่นบาง ๆ แตงกวา หัวหอม หรือผักชนิดอื่นที่คุณชอบ นำมาวางบนขนมปังพร้อมด้วย ชีสไขมันต่ำ มายองเนส หรือซอสมะเขือเทศ แล้วแต่ความชอบ เท่านี้คุณก็จะได้ แซนด์วิชไขมันต่ำที่ดีต่อสุขภาพของคุณ 
           การที่เราจะทำของว่างให้มีคุณค่าทางอาหารที่เพียงพอนั้น เราควรพิจารณาดูด้วยว่า เราควรจะบริโภคในปริมาณเท่าใดถึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเรา เพราะหากว่าเราทำอาหารเพื่อสุขภาพแล้ว แต่กลับรับประทานเข้าไปในปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ ละวัน ซึ่งแทนที่เราจะได้มีสุขภาพดีจากอาหาร อาจต้องเจ็บป่วยเพราะรับประทานอาหารไม่เพียงพอแทนได้นะ

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

โรคมือเท้าปากเปื่อย Hand foot mouth syndrome





โรคมือเท้าปากเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่มักจะเป็นในเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ขวบ แต่ก็อาจจะพบในผู้ใหญ่ได้
โรคมือเท้าปากจะเกิดเชื้อไวรัสกลุ่ม Enterovirus genusซึ่งเชื้อโรคในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วย polioviruses, coxsackieviruses, echoviruses, and enteroviruses.
สาเหตุ
โรคปากเท้าเปื่อยเกิดจาการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า Coxsackievirus โดยต้องประกอบด้วยผื่นที่ มือ เท้าและที่ปาก เริ่มต้นเป็นที่ปาก เหงือก เพดาน ลิ้น และลามมาที่มือ เท้า บริเวณที่พันผ้าอ้อมเช่นก้น ผื่นจะเป็นตุ่มน้ำใส มีแผลไม่มากอายุที่เริ่มเป็นคือ 2 สัปดาห์จนถึง 3 ปีผื่นจะหายใน 5-7 วัน
อาการ
อาการมักจะเริ่มด้วยไข้ เบื่ออาหาร ครั่นเนื้อครั่นตัวเจ็บคอ หลังจากไข้ 1-2 วันจะเห็นแผลแดงเล็กๆที่ปากโดยเป็นตุ่มน้ำในระยะแรกและแตกเป็นแผล ตำแหน่งของแผลมักจะอยู่ที่เพดานปาก หลังจากนั้นอีก1-2 วันจะเกิดผื่นที่มือและเท้า แต่ก็อาจจะเกิดที่แขน และก้นได้ เด็กที่เจ็บปากมากอาจจะขาดน้ำ
  • ไข้
  • เจ็บคอ
  • มีตุ่มที่คอ ปาก เหงือกลิ้นโดยมากเป็นตุ่มน้ำมากกว่าเป็นแผล
  • ปวดศีรษะ
  • ผื่นเป็นมากที่มือรองลงมาพบที่เท้าที่ก้นก็พอพบได้
  • เบื่ออาหาร
  • เด็กจะหงุดหงิด
ระยะฝักตัว
หมายถึงระยะตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการใช้เวลาประมาณ 4-6 วัน

การติดต่อ
เชื้อนี้ติดต่อจากการสัมผัสเสมหะ น้ำลายของผู้ที่ป่วย หรือน้ำจากผื่นที่มือหรือเท้า และอุจาระ ระยะที่แพร่เชื้อประมาณอาทิตย์แรกของการเจ็บป่วย เชื้อนั้นอาจจะอยู่ในร่างกายได้เป็นสัปดาห์หลังจากอาการดีขึ้้นแล้ว ซึ่งยังสามารถติดต่อสู่ผู้อื่นได้แม้ว่าจะหายแล้ว

การวินิจฉัย
โดยการตรวจร่างกายพบผื่นบริเวณดังกล่าว

การรักษา
ไม่มีการรักษาเฉพาะโดยมากรักษาตามอาการ
  • ถ้ามีไข้ให้ยา paracetamol ลดไข้ห้ามให้ aspirin
  • บ้วนปากด้วยน้ำเกลือใช้เกลือ1/2ช้อนต่อน้ำ1แก้วต้องมั่นใจว่าเด็กบ้วนคอได้
  • ดื่มน้ำให้พอ
โรคนี้หายเองได้ใน 5-7 วัน

โรคแทรกซ้อน
ผู้ป่วยส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ coxsackievirus A16 ซึ่งหายเองใน 1 สัปดาห์ แต่หากเกิดจากเชื้อ enterovirus 71 โรคจะเป็นรุนแรงและเกิดโรคแทรกซ้อน
การป้องกัน
โรคมือเท้าปากจะติดต่อจากคนสู่คนโดยการสัมผัส น้ำมูก น้ำลาย เสมหะของผู้ป่วย รวมทั้งน้ำจากตุ่ม และอุจาระ การลดความเสี่ยงของการติดต่อทำได้โดย
  • ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย
  • หลีกเลี่ยงที่มีคนมาก
  • ทำความสะอาดอุปกรณ์ที่มีการจับ่อย เช่นลูกบิด โทรศัพท์
ควรพบแพทย์เมื่อไร
  • ไข้สูงรับประทานยาลดไข้แล้วไม่ลง
  • ดื่มน้ำไม่ได้และมีอาการขาดน้ำ ผิวแห้ง ปัสสาวะสีเข็ม
  • เด็กระสับกระส่าย
  • มีอาการชัก








ที่มา http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/infectious/hand_foot_mouth/hand_foot_mo.htm
วนที่สืบค้น 16 กรกฏาคม 2555
https://www.youtube.com/watch?v=N9gIliOCuYk

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ทำอย่างไรจึงจะมีสุขภาพที่ดี

สุขภาพดี หมายถึง หมายถึงสุขภาพดีทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการดำเนินชีวิต การมีสุขภาพและ พลานามัยที่ดี ย่อมส่งผลให้เกิดสมรรถภาพและประสิทธิภาพในการประพฤติปฏิบัติในทางที่ดีงามตามมา ควรยึดหลักดังต่อไปนี้


1. กินให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย จะกินอย่างไรโดยให้พิจารณาจากปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้
1.1 สภาพของร่างกาย โดยดูจากโครงสร้างของร่างกาย สัดส่วน เพศ และการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เช่น เพศหญิงมีความต้องการสารอาหารมากกว่าผู้ชาย
1.2 อายุ วัยเด็กที่อยู่ในวัยเจริญเติบโตต้องการสารอาหามากกว่าผู้ใหญ่
2. กินอาหารให้ครบ ถูกส่วน และกินอาหารที่มีคุณภาพ อาหารที่เหมาะสมกับกีฬายังคงยึดหลักการเดียวกับคนปกติ โดยกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่ แป้ง, เนื้อสัตว์, ไขมัน, วิตามิน, เกลือแร่ และน้ำ
3. กินอาหารให้ครบทุกมื้อ โดยแบ่งเป็น 3 - 4 มื้อต่อวัน ไม่ควรอดเป็นบางมื้อ ช่วงที่อดอาหาร ร่างกายจะใช้สารอาหารในกล้ามเนื้อ ซึ่งถ้าใช้เวลาแข่งขันนาน ๆ จะทำให้สมองสั่งให้ร่างกายพักผ่อนทำให้ความคิดไม่แว่บใส ในแต่ละมื้อควรเฉลี่ยให้กินอาหารครบทุกประเภท โดยจัดเป็น 4 ประเภท ดังนี้
- นมและผลิตภัณฑ์จากนม 2 มื้อ
- อาหารเนื้อสัตว์ 2 มื้อ
- แป้งหรือข้าว 4 มื้อ
- ผักและผลไม้ 4 มื้อ
4. จัดให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ต้องเป็นอาหารที่นักกีฬากินได้และคุ้นเคย ซึ่งจะทำให้กินได้ครบถ้วนในปริมาณที่เพียงพอ


ความสมบูรณ์ทางกายและสมรรถภาพทางกาย
ความสมบูรณ์ทางกาย หมายถึง การมีสุขภาพและสมรรถภาพที่ดี สุขภาพดีเป็นภาวะที่ ปราศจากโรค สามารถปฏิบัติภารกิจประจำวันได้อย่างราบรื่น สุขภาพดีจึงเป็นรากฐานที่ดีของสมรรถภาพ ผู้มีสุขภาพดีจะสามารถฝึกซ้อมกีฬาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และร่างกายมีสมรรถภาพดีขึ้นจนถึงจุดสูงสุด ถ้าสุขภาพไม่ดี จะมีผลให้การฝึกซ้อมกีฬา ตลอดจนการทำงานในชีวิตประจำวันขาดประสิทธิภาพ และยังอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยขึ้นได้
สมรรถภาพทางกาย หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการควบคุมและสั่งการให้ร่างกายปฏิบัติภารกิจต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับปริมาณงานและเวลา โดยการปฏิบัติภารกิจนั้น ไม่เป็นเหตุให้กิดความทุกข์มานต่อร่างกาย อีกทั้งยังสามารถประกอบกิจกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากภารกิจประจำวันได้อีก ด้วยความกระฉับกระเฉง ปราศจากอาการเมื่อยล้าและอ่อนเพลีย

เทคนิคนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อบุคลิกสดใส สุขภาพแข็งแรง

            การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด ช่วยให้คุณสดชื่น สุขภาพดีทั้งกายและใจ
การพักผ่อนที่ดีที่สุด คือการนอนหลับ หากนอนหลับไม่เพียงพอ หรือนอนไม่หลับบ่อยๆ อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว อ่านเคล็ดลับ เทคนิคต่างๆ จากคุณชลิตา เถาวน์ชาลี ตันติพิภพ อดีตนางสาวไทยที่ช่วยให้คุณพักผ่อนนอนหลับสบายค่ะ
เมื่อคุณนอนหลับไม่เพียงพอ จะส่งผลเสียต่อสุขภาพ
            การอดนอนบ่อยๆ มีผลต่อภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่อระบบภูมิคุ้มกันแย่ลง จึงไม่สามารถกำจัดแบคทีเรียได้ และก่อให้เกิดโรคร้ายแรงๆ ทั้งยังส่งผลเสียต่อสภาพผิวพรรณอีกด้วยค่ะ
สูญเสียโอกาสที่ร่างกายจะหลั่งโกร๊ธ ฮอร์โมน (Growth Hormone) ในขณะหลับ ซึ่งโกร๊ธ ฮอร์โมนจะช่วยให้คุณดูอ่อนเยาวน์ สร้างสมดุลระบบการเผาผลาญอาหาร และซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ดังนั้น หากขาดฮอร์โมนชนิดนี้ ผิวหนังจะหย่อนคล้อยและเหี่ยวย่น
ระบบภูมิคุ้มกันแย่ลง ทำให้ไม่สามารถกำจัดแบคทีเรียได้ ก่อให้เกิดโรคร้ายแรงต่างๆ
ระบบการย่อยผิดปกติ โดยร่างกายจะต้องใช้เวลามากขึ้นถึง 40 เปอร์เซนต์เพื่อจัดการกับระดับน้ำตาลในเลือดหลังกินคาร์โบไฮเดรต การมีระดับน้ำตาลสูงค้างในเลือดนานๆ จะทำให้แก่เร็ว
หากอดนอน 1 คืน เซลล์ที่เป็นป้อมปราการต้านเนื้องอกจะอ่อนแอลงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เสี่ยงต่อโรคมะเร็ง ทั้งยังทำให้ความจำและการทำงานของสมองแย่ลง
หากอดนอนนาน 1 สัปดาห์ (กรณีนอนวันละ 4 ชั่วโมงโดยประมาณ) ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนที่จำเป็นในการควบคุมปริมาณกล้ามเนื้อและไขมันน้อยลง ทำให้ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น
อาหารที่ช่วยให้คุณนอนหลับสบาย
ในแต่ละวันควรได้รับคาร์โบไฮเดรตชนิดดีราว 60-65 เปอร์เซนต์ จากมันเทศ เผือก กลอย ถั่วต่างๆ ผลไม้ ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต และผลิตภัณฑ์โฮลเกรนต่างๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายผลิตเซโรโทนิน ที่ทำให้หลับสบาย การดื่มนมอุ่นๆ ก็ช่วยให้หลับง่ายๆ เช่นกัน การวิจัยพบว่า เมลาโทนิน (Melatonin) ที่มีในนมวัว ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
           สำหรับคนนอนหลับยาก ควรงดกาแฟ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต ขนมขบเคี้ยว และทอฟฟี่ เพราะคาเฟอีนจะกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว ทำให้นอนหลับได้ยาก แนะนำให้ดื่มชาคาโมมายด์อุ่นๆ ก่อนนอน เพื่อทำให้ใจสงบ และหลับง่าย
สารพัดวิธีที่ช่วยทำให้นอนหลับได้สนิท

                  กลิ่นของลาเวนเดอร์ช่วยให้คุณนอนหลับพักผ่อนได้สบายยิ่งขึ้น
การเลือกออกกำลังกายในช่วงเย็นช่วยให้หลายคนรู้สึกเหนื่อย และหลับง่ายขึ้น การแช่น้ำอุ่นหยดน้ำมันหอม เช่น ลาเวนเดอร์ ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย หรือหยดน้ำมันหอมลาเวนเดอร์ 2-3 หยด ก็จะช่วยให้หลับสบายขึ้น
                การผ่อนคลายร่างกาย เช่น อาบน้ำอุ่น ฟังเพลงสบายๆ หรือยืดเส้นยืดสาย ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดรฟีน ทำให้หายเครียดและนอนหลับได้สบายยิ่งขึ้น

                การหาผ้าคาดตามาใส่กรณีที่ห้องค่อนข้างสว่างเป็นทางเลือกที่ไม่เลวค่ะ
จัดบรรยากาศห้องนอนให้มืดสนิท อุณหภูมิที่ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป พยายามเข้านอนช่วง 4 ทุ่มและตื่นเช้า เพื่อให้ร่างกายได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ และรู้สึกสดชื่นในตอนเช้า
เทคนิคทำให้นอนหลับสบาย
เพื่อให้เซลล์ผิวฟื้นฟูได้ดีขึ้น คงความอ่อนเยาว์ และสุขภาพที่แข็งแรง คือ
1. นอนหงาย หยุดความคิดไว้ที่ร่างกายตนเอง
2. เริ่มต้นเกร็งและผ่อนคลายเท้าสองข้างสลับกัน แล้วค่อยๆ ขยับขึ้นมาจนถึงศีรษะ
3. เมื่อมาถึงศีรษะ ให้เกร็งและผ่อนคลายทุกอวัยวะ (ขากรรไกร ดวงดา หน้าผาก)
4. กดศีรษะลงกับหมอนและนอนหลับอย่างผ่อนคลาย
5. หากยังไม่หลับ ตั้งสมาธิกับการหายใจให้ลึกและยาว เว้นจังหวัะเล็กน้อยระหว่างหายใจเข้าและออก ช่วยให้สมองปรอดโปร่ง รู้สึกผ่อนคลาย


ที่มา: B-GirlShop ร้านขายเสื้อผ้าคนอ้วนออนไลน์

วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ออกกำลังกายวันละนิด.. ชีวิตแจ่มใส

การออกกำลังกายมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

1. ระบบไหลเวียนโลหิต
1.1 ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงมากขึ้น สามารถสูบฉีดโลหิตได้ปริมาณมากขึ้น
1.2 เพิ่มหลอดโลหิตฝอยมาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจมากขึ้น
1.3 ลดอัตราการเต้นของหัวใจ ทั้งในขณะพัก และออกกำลังกาย ทำให้ไม่เหนื่อยง่าย
1.4 ลดแรงต้านทานส่วนปลายของหลอดโลหิตฝอยทำให้ความดันโลหิตลดลงทั้งขณะพัก และออกกำลังกายลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง

2. ระบบหายใจ
2.1 ความจุปอดเพิ่มขึ้น ทำให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนมากขึ้น
2.2 เพิ่มปริมาณโลหิตไปสู่ปอด ทำให้การไหลเวียนของปอดดีขึ้น
2.3 เพิ่มประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนก๊าซที่ปอด ทำให้ประสิทธิภาพการหายใจดีขึ้น

3. ระบบชีวเคมีในเลือด
3.1 ลดปริมาณคอเลสเตอรอล (Cholesterol) และไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) จึงลดอัตราเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน
3.2 เพิ่ม HDL Cholesterol ซึ่งช่วยลดการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
3.3 ลดน้ำตาลส่วนเกินในเลือด เป็นการช่วยป้องกันโรคเบาหวาน

4. ระบบประสาทและจิตใจ
4.1 ลดความวิตกกังวลและคลายความเครียด
4.2 มีความสุขและรู้สึกสบายใจจากสาร Endorphin ที่หลั่งออกมาจากสมองขณะออกกำลังกาย
สวัสดีค่า........คุณนันทิดา

วันนี้มีเกล็ดเล็กๆน้อยๆมาฝากเรื่องความสวย ความงาม สุขภาพของคุณแหละค่า
เอาเป็นว่ามาเริ่มกันเลยดีกว่า
....ทำยังไงถึงจะสมองไว.......
....คำตอบง่ายนิดเดียวนะคะ วันนี้จะแนะนำเรื่องจังหวะในการพัฒนาสมอง(สมองช้าป่าวววว..555)คือ sixrhythm ก็จะมี จังหวะบีกิน วอลซ์ ซาซ่า ช่า ช่า ช่า แซมบ้า รุมบ้า

รายละเอียดของแต่ละจังหวะหาเองนะคร๊ะ
บาย  บาย แล้วเจอกันครั้งถัดไปนะคะ

สุขภาพตา เพราะดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ

การรักษาอนามัยของดวงตา
ดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญ เราควรหวงแหน และให้ความเอาใจใส่ ควรปฏิบัติดังนี้
  • อ่าน หรือเขียนหนังสือในระยะห่างประมาณ 1 ฟุต โดยมีแสงสว่างเพียงพอ แสงเข้าทางด้านซ้าย หรือตรงข้ามกับมือที่ถนัด หากรู้สึกเพลียสายตา ควรพักผ่อนสายตา โดยการหลับตา หรือมองไปไกลๆ ชั่วครู่
  • ดูโทรทัศน์ในระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตรครึ่ง
  • บำรุงสายตาด้วยการรับประทานอาหารที่มีคุณค่า เช่น มะละกอสุก ฟักทอง และผักบุ้ง เป็นต้น
  • ใส่แว่นกันแดด ถ้าจำเป็นต้องมองในที่ๆ มีแสงสว่างมากเกินไป
  • ตรวจสายตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยแผ่นทดสอบสายตา (E-Chart) ถ้าสายตาผิดปกติ ให้พบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจสอบ และประกอบแว่นสายตา

การออกกำลังหัวใจ







      เมื่อคนเราเกิดมา หัวใจ จะมีความแข็งแรง เหมือนกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ที่มีกรรมพันธุ์ที่ดี จะมีโอกาสเกิดโรคหัวใจน้อย สำหรับผู้ที่มีพันธุกรรมต่อโรคหัวใจ และยังมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อโรคหัวใจจะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมาก
      สำหรับท่านที่คิดจะเริ่มต้นออกกำลังกาย แต่ไม่รู้ว่าจะออกกำลังกายอย่างไรดี
นักวิจัย จากประเทศอเมริกา พบว่าการออกกำลังกาย วันละ 15 นาที วันละหลายครั้ง มีประโยชน์พอๆกับการออกกำลังกายอย่างหนัก โดยการออกกำลังแต่ละครั้งพยายามให้หัวใจเต้นได้ตามกำหนด นักวิจัยพบว่าการออกกำลังการอย่างหนักเช่นการวิ่ง การว่ายน้ำ การเล่น tennis การเต้น aerobic จะลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ 20% ส่วนการออกกำลังกายปานกลางเช่นการเล่นกอล์ฟ การเดิน การทำงาน การเต้นรำ จะลดการเกิดโรคหัวใจ 10% ทั้งนี้เนื่องจากการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายสร้าง HDLซึ่งป้องกันโรคหัวใจ
การออกกำลังแบบไหนจึงจะป้องกันโรคหัวใจ
การออกกกำลังกายแบบ aerobic จะทำให้หัวใจแข็งแรงและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น วิธีออกกำลังกายเพื่อให้ได้ aerobic มีได้หลายวิธีเช่น

วันที่ : 11 กรกฏาคม 2555

วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

รมว.สาธารณสุขยัน!! ยังไม่มีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่

               นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวยืนยันถึงกรณีมีกระแสข่าวการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ขึ้นในบางพื้นที่ของประเทศไทย ว่า ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่พบว่ามีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่แต่อย่างใด ถึงแม้ในช่วงประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จะพบผู้ป่วยมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ 42 ราย ที่โรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ จ.นครราชสีมา และตรวจพบว่าเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1 ที่ไม่ร้ายแรง ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ส่งทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วเข้าควบคุมสถานการณ์ของโรคไว้ได้แล้ว จึงขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกกับข่าวดังกล่าว ขณะนี้รายงานผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ยังอยู่ในสถานการณ์ปกติ คือมีการตรวจพบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่เพียง 3-4 ราย จากผู้ที่มาตรวจรักษาทั้งหมด 100 คน แต่ถ้าเมื่อไรตรวจพบว่ามีผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่เกิน 10 คน จากทั้งหมด 100 คน แสดงว่าน่าจะมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่นั้นๆ แล้ว


            ทั้งนี้รายงานสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ จากสำนักระบาดวิทยากรมควบคุมโรค ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-18 มิถุนายน 2555 พบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่หรือสงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่ทั่วประเทศรวม 13,284 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 20.91 ต่อแสนประชากร ไม่มีผู้เสียชีวิต กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด เรียงตามลำดับ คือ 25-34 ปี (11.53%) 15-24 ปี (10.24%) 35-44ปี (9.73%) จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 5 อันดับแรกคือ ลำปาง 135.25 ต่อแสนประชากร สงขลา (100.08) ภูเก็ต (83.06) อุตรดิตถ์ (62.64) พังงา (55.23) เมื่อเทียบจำนวนผู้ป่วยระหว่างปี 2555 กับปี 2554 ในช่วงเวลาเดียวกัน (ระหว่าง 1 มกราคม-11 มิถุนายน 2554) ซึ่งมีจำนวน 12,037 ราย พบว่ายอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 1,247 ราย หรือประมาณร้อยละ 10.36

          รมว.สาธารสุข กล่าวต่อว่า ในช่วงฤดูฝนถือเป็นช่วงการระบาดของไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลอยู่แล้ว แม้กรมควบคุมโรคจะได้รับรายงานพบผู้ป่วยเข้ามาเป็นระยะๆ แต่คาดการณ์ว่าสถานการณ์การระบาดปีนี้ไม่น่าจะรุนแรง จะมีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 1-4ล้านคน และมีอาการรุนแรงที่ต้องเข้ารับการรักษาประมาณ 5-6หมื่นคน ซึ่งปัจจุบันเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A/2009 H1N1กลายเป็นหนึ่งในเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ไม่ได้ทำให้เกิดอาการรุนแรงมากเหมือนในปีแรกๆ

            อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนทุกคนตระหนักถึงการป้องกันตัวเอง เพื่อไม่ให้เป็นหวัดหรือติดหวัด โดยการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล ได้แก่ กินร้อน-ช้อนกลาง-ล้างมือ การล้างมือบ่อยๆ จะช่วยป้องกันการนำเชื้อโรคมาสู่เราเองจากการสัมผัสเชื้อแล้วเข้าสู่จมูก ตา ปาก และเมื่อไอ จาม ให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษทิชชูปิดปาก ปิดจมูก และถ้าป่วยเป็นไข้หวัดแล้ว คือมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ถ้าพักผ่อนแล้ว 48 ชั่วโมงอาการไม่ดีขึ้น ให้ไปพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือแพทย์เพื่อให้การดูแลรักษาต่อไป แต่ในกรณีกลุ่มเสี่ยงสูงทั้งเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ถ้าป่วยให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที และต้องใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ไปอยู่ในที่ชุมชน แต่ที่ดีที่สุดคือป่วยแล้วควรอยู่บ้านพัก ไม่ไปทำงาน ไม่ไปโรงเรียน เพื่อไม่ให้กระจายเชื้อให้ผู้อื่นซึ่งเรื่องนี้สำคัญมาก

              ด้าน ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผู้ที่เข้าข่ายอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคเรื้อรังต่างๆ เพราะเมื่อติดเชื้อป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่แล้ว จะมีอาการรุนแรงอาจทำให้เกิดการเสียชีวิตได้ จึงขอให้เข้ารับบริการฉีดวัคซีนป้องกันที่โรงพยาบาลทั่วประเทศ จนถึงขณะนี้ได้เตรียมวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ไว้แล้วจำนวน 3.1 ล้านเข็ม (โด๊ส) โดยใช้งบประมาณจากกระทรวงสาธารณสุขในการดำเนินงานจัดหาวัคซีนดังกล่าว ให้แก่กลุ่มเสี่ยงฉีดคนละ 1 เข็ม (โด๊ส) ถ้าฉีดวัคซีนนี้ให้กับคน 100 คน จะสามารถป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้มากกว่า 70 คน ส่วนอีกประมาณ 30 ถ้าเป็นก็จะไม่รุนแรง ขณะนี้มีผู้ฉีดไปแล้วกว่า 177,000 คน

             การดำเนินงานในพื้นที่ ที่มีความเสี่ยงต่อการระบาดของโรค เช่น โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ในสำนักงานต่างๆ ในสถานที่ที่เป็นห้องแอร์ โรงเรียน หรือศูนย์เด็กเล็ก เป็นต้น จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานสาธารณสุขและจากประชาชนในการป้องกันควบคุมการระบาดของโรคร่วมกัน ดังนั้นประชาชนที่อยู่ในสถานที่ ที่ค่อนข้างแออัด มีคนหมู่มากอยู่รวมกัน การถ่ายเทอากาศไม่สะดวก เช่น ชุมชน วัด โรงเรียน ฯลฯ แล้วพบผู้ป่วยต้องสงสัยว่ามีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ และเกรงว่าจะควบคุมการระบาดของโรคไม่ได้ ให้แจ้งทางโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (รพ.สต.) หรือหน่วยงานสาธารณสุขที่อยู่ใกล้ที่สุด หรือแจ้งเข้ามาที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานส่งทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วเข้าไปควบคุมป้องกันโรคในพื้นที่ ไม่ให้เกิดการระบาดขึ้น

ที่มา : http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/news/29239
วันที่ : 6 กรกฎาคม 2555