วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

โรคกระเพาะอาหาร


โรคกระเพาะอาหารหมายถึงภาวะที่มีแผลเยื่อบุกระเพาะ และลำไส้ถูกทำลายถึงแม้ว่าจะเรียกว่าโรคกระเพาะ แต่สามารถเป็นได้ทั้งที่กระเพาะ และลำไส้ ว่า ถ้าเป็นเฉพาะเยื่อบุกระเพาะเรียก gastritis แต่ถ้าเป็นแผลถึงชั้นลึกmuscularis mucosa เรียก ulcerถ้าแผลอยู่ที่กระเพาะเรียก gastric ulcerถ้าแผลอยู่ที่ลำไส้เล็กเรียกduodenal ulcer โรคกระเพาะพบได้ทุกวัย 



สาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร
สาเหตุของการเกิดโรคกระเพาะมีมากมาย แต่เชื่อกันว่า สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากมีกรดในกระเพาะอาหารมาก และเยื่อบุกระเพาะอาหารอ่อนแอลง
  1. เชื่อโรค Helicobacter pylori
  2. เป็นเชื้อรูปแท่งติดสีน้ำเงิน มีความสามรถอยู่ในสภาวะกรดได้ดี
  3.  สาเหตุที่กระเพาะอาหารมีกรดมากขึ้น เกิดขึ้นเนื่องจากสิ่งต่อไปนี้กระตุ้นให้กรดหลั่งมาก
  • กระตุ้นของปลายประสาท เกิดจากความเครียด วิตกกังวลและอารมณ์
  • การดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ เหล้า เบียร์ ยาดอง
  • ชา กาแฟ และน้ำดื่มที่มี Caffeine จะทำให้กรดหลั่งออกมามาก
  • การสูบบุหรี่ เนื่องจากบุหรี่ทำให้เกิดการหลั่งกรดออกมามาก
  •  การกินอาหารไม่เป็นเวลา
  • ภาวะที่มีกรดหลั่งออกมามาก เช่นโรค Zollinger-Ellisson syndrome กรดที่หลั่งออกมามาก จะทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร
  1.   มีการทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร เกิดจาก
  •  การกินยาแก้ปวด ลดไข้ แก้ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ ยาชุดที่มีแอสไพริน และยาสเตียรอยด์ ยาลูกกลอนต่างๆโดยเฉพาะสารที่ระคายกระเพาะ เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAID แม้วว่าจะให้ยาโดยการฉีดหรืออมใต้ลิ้นก็มีโอกาสเกิดแผลที่กระเพาะ เนื่องจากนี้จะไปกระตุ้นให้เกิดcyclooxigenase II (Cox II) ซึ่งจะทำให้เกิดการอักเสบที่กระเพาะ
  • การกินอาหารเผ็ดจัด และเปรี้ยวจัดจากน้ำสมสายชู
  • การดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ เหล้า เบี้ย ยาดอง
  1.  ประวัติเป็นโรคกระเพาะในครอบครัวหากครอบครัวไหนมีโรคกระเพาะ คนในครอบครัวนั้นก็จะมีโอกาสเกิดโรคกระสูง
Helicobacter pylori (H. pylori) คืออะไร
เป็นเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุที่สำคัญของผู้ป่วยโรคกระเพาะ เชื่อว่าติดต่อโดยการรับประทานอาหาร และน้ำ เชื้อจะทำลายเยื่อบุ และฝังตัวที่กระเพาะอาหาร กรดจากกระเพาะอาหารจะช่วยทำลายเยื่อบุทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สวยใสจากภายในด้วย 4 อาหารผิว



Antiaging Medicine หรือการรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านริ้วรอย ชะลอวัย กำลังมาแรง ทั้งในประเทศอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ส่วนใหญ่สารอาหาร ดังกล่าวจะคัดสรร สกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติ การเลือกรับประทานผัก ผลไม้ และอาหารเสริม ที่มีส่วนผสมของสารต่อต้านความชราจึงเป็นอีกทางเลือกของความสวยที่เราสามารถ ทำได้ด้วยตัวเอง ไม่มีคำว่าช้าเกินไป แต่ใครเริ่มเร็วกว่าก็ยิ่งยืดความอ่อนเยาว์ให้ตัวเองได้ยาวนานกว่า และนี่คือสารอาหารที่จะช่วยคงความงามแห่งผิวพรรณจากภายใน สู่ภายนอก ที่เราขอแนะนำ

Niacin / Vitamin B3
ไนอาซินหรือวิตามินบี 3 เป็นวิตามิน ตัวเดียวที่ร่างกายสังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโน ช่วยบำรุงสมองและประสาท รักษาสุขภาพของผิวหนัง ลิ้น และเนื้อเยื่อของระบบย่อยอาหาร จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ไนอาซินมีในอาหารทั่วไปที่ได้จากสัตว์และพืช แหล่งที่มีมากคือ เนื้อสัตว์, เนื้อปลา, ถั่ว, ข้าว, เครื่องในสัตว์ แหล่งที่มีปานกลางได้แก่ มันฝรั่ง, ธัญพืช, แหล่งที่มีน้อยคือ น้ำนม, ไข่, ผัก และผลไม้

วิตามินเอ
วิตามินเอ มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ เรตินอยด์ (Retinoids) และแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) วิตามินเอเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง การซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป นอกจากนี้วิตามินเอยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนัง และเป็นสารสำคัญที่ช่วยทำให้ผิวหนังมีการทำงานอย่างปกติ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งและเสริมสุขภาพตา แหล่งอาหารที่พบคือ ไข่, นม, เนย, ปลาแซลมอน, ปลา Halibut, ผักใบเขียว เช่น บร็อกโคลี, ผักโขม, แอสพารากัส, มะละกอ, แคนตาลูป, มะเขือเทศ, ฟักทอง

วิตามินบี-คอมเพล็กซ์วิตามินในกลุ่มนี้ มีความสำคัญต่อสุขภาพผิวหนังเป็นอย่างมาก ช่วยในกระบวนการผลิตพลังงานภายในเซลล์ เช่น วิตามินบี 2 ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ วิตามินบี 3 ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และทำให้ผิวหนังไม่ซีด วิตามินบี 12 ช่วยในการแบ่งเซลล์ วิตามินบี 9 ช่วยในเรื่องการแบ่งและเจริญเติบโตของเซลล์ นอกจากนี้ กรดโฟลิกยังช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง แหล่งอาหารที่พบมากคือ บร็อกโคลี, มันฝรั่ง, เห็ด, แครอท, มะเขือเทศ, กะหล่ำปลี, ผักโขม, กล้วย, แอปเปิ้ล, มะเขือ, ผลไม้ในกลุ่มส้ม, ไข่, เนื้อไก่, เนื้อปลาแซลมอน และปลาทูน่า

Vitamin C
วิตามินซีเป็น สารอาหารสำคัญที่ช่วยในการสังเคราะห์และช่วยกระตุ้น การสร้างคอลลาเจน ทั้งนี้คอลลาเจนจะไม่สามารถทำงานได้หากขาดวิตามินซี นอกจากนี้วิตามินซียังมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว และชะลอการเกิดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ที่มา  http://www.dermaexpert.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538822160&Ntype=7

วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สุขภาพปากและฟันที่ดีคืออะไร

สุขภาพปากและฟันที่ดีหมายถึง
  • ฟันที่ดูสะอาดไม่มีเศษอาหารติดอยู่
  • เหงือกสีชมพู ไม่เจ็บ หรือมีเลือดออกเวลาแปรงฟันหรือขัดฟัน
  • ไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นปาก
ถ้าเหงือกมีอาการเจ็บหรือเลือดออกเวลาแปรงฟันหรือขัดฟัน หรือมีปัญหาเรื่องกลิ่นปากตลอดเวลา ควรพบทันตแพทย์ เพราะอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของปัญหา
ทันตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคเพื่อสุขภาพปากและฟันที่ดี ตลอดจนแนะนำบริเวณที่ต้องดูแลเป็นพิเศษระหว่างการแปรงฟันหรือขัดฟัน
ทำอย่างไรให้มีสุขภาพปากและฟันที่ดี 
การรักษาสุขภาพปากและฟันที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณจะทำเพื่อเหงือกและฟันของคุณ ฟันที่แข็งแรงไม่เพียงแต่จะช่วยให้ดูดีและรู้สึกดีเท่านั้น แต่มันยังช่วยให้คุณรับประทานได้สะดวก และพูดได้อย่างชัดถ้อยชัดคำอีกด้วย สุขภาพปากและฟันที่ดีจึงมีความสำคัญต่อการความเป็นอยู่ที่ดี
การดูแลประจำวัน ซึ่งก็คือการแปรงฟันอย่างถูกวิธี จะช่วยป้องกันเกี่ยวกับช่องปาก ทำให้เจ็บตัวน้อยกว่า ประหยัดกว่า และวิตกกังวลน้อยกว่าการที่ต้องรับการรักษาเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว
นี่คือขั้นตอนง่ายๆ ที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อฟันผุ โรคเหงือก และปัญหาเกี่ยวกับฟันอื่นๆ ที่คุณควรจะปฏิบัติในระยะระหว่างการนัดพบทันตแพทย์
  • การแปรงฟันอย่างทั่วถึงวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟันวันละครั้ง
  • การรับประทานอาหารที่ถูกสัดส่วน และจำกัดอาหารว่างระหว่างมื้อ
  • การใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์
  • การบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่มีฟลูออไรด์ ในกรณีที่ทันตแพทย์แนะนำ
  • การให้เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีดื่มน้ำที่ผสมฟลูออไรด์ หรือให้อาหารเสริมฟลูออไรด์
การแปรงฟันที่ถูกต้อง
brush1brush2brush3
วางแปรงทำมุม 45° กับแนวเหงือก และปัดออกจากแนวเหงือก.
แปรงเบาๆ ทั้งด้านนอน ด้านใน และบริเวณบดเขี้ยวอาหารโดยการสบัดแปรงขึ้นลง
แปรงเบาๆ ที่ลิ้น เพื่อขจัดแบคทีเรีย และลดกลิ่นปาก
การใช้ไหมขัดฟันที่ถูกต้อง
floss1floss2floss3
ใช้ไหมยาวประมาณ 18" โดยปล่อยให้เหลือความยาวประมาณ 1-2"
ใส่ไหมไปตามซอกฟันเบาๆ
ทำความสะอาดตามร่องเหงือก โดยหลีกเลี่ยงไม่ให้ไหมโดนเหงือก
ที่มา www.colgate.co.th/

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

5 สุดยอดของว่าง อาหารหัวใจ



อาหารเพื่อสุขภาพ


5 สุดยอดของว่างอาหารหัวใจ (Lisa)

          กินไม่เลือกระวังจะสร้างไขมันมาอุดหัวใจ ไปดูกันดีกว่าว่าของว่างอร่อย ๆ ช่วยบำรุงหัวใจมีอะไรบ้าง

แอปเปิ้ล

 แอปเปิ้ล

          เป็นความจริงที่ว่าการกินแอปเปิ้ลวันละผลจะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรงพยาบาล ในการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แอปเปิ้ลเป็นอันดับสองของผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุด (รองลงมาจากแครนเบอร์รี่) และยังมีใยอาหารชื่อเพคติน ควรทำปฏิกริยากับไฟโตนิวเทรียนท์อื่น ๆ โดย สารต้านอนุมูลอิสรนะชื่อ Quercetin พบในแอปเปิ้ลจะช่วยป้องกันอนุมูลอิสระที่เป็นบ่อเกิดของโรคหลอดเลือดหัวใจและภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว ในขณะที่เพคตินช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล "เลว" แอปเปิ้ลยังมีคุณสมบัติต้านอาการอักเสบอีกด้วย

           Tip: แอปเปิ้ลทุกชนิดดีต่อหัวใจของคุณ แต่แอปเปิ้ลแดงจะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุด
 
บลูเบอร์รี่

บลูเบอร์รี่

          เบอร์รี่ชนิดนี้เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (โดยเฉพาะแมงกานีส วิตามินซีและอี) ซึ่งให้การป้องกันในระดับเซลล์เลยทีเดียว นอกจากการช่วยลดคอเลสเตอรอล "เลว" พร้อมกับการเพิ่มคอเลสเตอรอล "ดี" แล้ว ไฟโตนิวเทรียนท์ยังจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ แถมยังช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตให้ปกติอีกด้วย

           Tip: บลูเบอร์รี่ที่ปลูกแบบออร์แกนิกมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุด หากเป็นไปได้กินทุกวันก็ยิ่งดี ส่วนบลูเบอร์รี่แช่แข็งนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระน้อยลงมา
 
ช็อกโกแลต

ดาร์กช็อกโกแลต

          การศึกษาตีพิมพ์ในวารสาร British Medical Journal ชี้ว่า มีอาหารเจ็ดกลุ่มที่จะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจได้ถึงร้อยละ 75 และหนึ่งในนั้นก็คือดาร์กช็อกโกแลต ซึ่งมีปริมาณโกโก้อยู่สูง โกโก้มีสารจำพวกฟลาวานอยด์ที่ช่วยป้องกันการอุดตันของเส้นเลือดแดงได้ จึงช่วยลดโอกาสเกิดหัวใจวายและเส้นเลือดในสมองแตก นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าดาร์กช็อกโกแลตช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วย

           Tip: กินแค่น้อย ๆ ประมาณไม่เกิน 2 ตารางนิ้วต่อครั้ง และเลือกที่มีปริมาณโกโก้เกิน 70%
 
องุ่น


องุ่น

          องุ่นมีสารอาหารปกป้องหัวใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซี บี6 โพแทสเซียม และฟลาวานอยด์ สารอาหารเหล่านี้รวมกันจะช่วยควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ ลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยในการสูบฉีดเลือด โดยเฉพาะวิตามินบี6 ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอาการอักเสบ ลดโอกาสเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวและความดันโลหิต

           Tip: ไม่ว่าจะองุ่นสดหรือองุ่นแช่แข็งก็มีสารอาหารเต็มเปี่ยมเหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้กินเมล็ดด้วยนะ
 
อัลมอนด์

อัลมอนด์

          อัลมอนด์มีสารอาหารที่ดีต่อหัวใจมากมาย ได้แก่ ใยอาหาร วิตามินอี โพแทสเซียม และแมกนีเซียม โดยแมกนีเซียมนั้นจะช่วยให้ระดับความดันโลหิตเป็นปกติ ส่วนโพแทสเซียมสำคัญต่อการสูบฉีดเลือด นอกจากนี้ อัลมอนด์ยังเต็มไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวซึ่งเป็นไขมันที่ดี ในการศึกษามากมายชี้ว่าไขมันชนิดนี้ช่วยลดโอกาสเกิดโรคหัวใจได้


ที่มาhttp://health.kapook.com/view36268.html

การออกกำลังกายในผู้ป่วยโรคหัวใจวาย


ผลดีของการออกกำลังกาย
  1. สามารถออกกำลังกายได้เพิ่มขึ้น ทั้งออกกำลังกายได้นานขึ้นและออกได้หนักขึ้นซึ่งจะเห็นผลเมื่อออกกำลังได้ 3 สัปดาห์ วิธีการออกมีทั้งการเดิน การขี่จักรยาน และการยกน้ำหนัก โดยการให้ออกกำลังครั้งละ 20 นาทีสัปดาห์ละ 4-5 ครั้งโดยออกกำลังกายให้หัวใจเต้นได้ประมาณ 70-80%ของการเต้นเป้าหมาย(220-อายุ)
  2. ระดับสาร Catecholamine ซึ่งเป็นสารร่างกายสร้างขึ้นในภาวะที่เป็นโรคหัวใจวาย หากสารนี้มีมากเกินไปจะส่งผลเสียต่อร่างกาย หลังการออกกำลังกายพบว่ารายงานส่วนใหญ่กล่าวไว้ว่ามีปริมาณลดลง ซึ่งส่งผลดีต่อผู้ป่วย
  3. การออกกำลังกายจะทำให้ระบบการหายใจดีขึ้น มีการแลกเปลี่ยนของก๊าซเพิ่มขึ้น
  4. การทำงานของเซลล์เยื่อบุผิวหลอดเลือดดีขึ้น(endotheliail)ทำให้มีการหลั่งสารที่ทำให้หลอดเลือดขยายได้มากขึ้น เลือดไปเลี้ยงแขนขาและที่สำคัญไปเลี้ยงหัวใจเพิ่มขึ้น
  5. การออกกำลังกายทำให้หัวใจมีการปรับตัวทำงานดีขึ้น หลังการออกกำลังกายพบว่าการทำงานของหัวใจดีขึ้น หัวใจเต้นช้าลง และเพิ่มปริมาณเลือดในการบีบตัวแต่ละครั้ง(systolic)
  6. อัตราการตาย หรือการนอนโรงพยาบาล หรืออาการเจ็บหน้าอกลดลง
  7. ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจวายชนิดคลายตัวไม่ดี Diastolic dysfunction เป็นภาวะหัวใจซึ่งเกิดจากหัวใจไม่สามารถคลายตัวเพื่อรับเลือด ทำให้หัวใจบีบแต่ละครั้งได้เลือดน้อยกว่าปกติ ภาวะนี้มักจะเกิดในผู้ที่สูงอายุ กล้ามเนื้อหัวใจหนา เส้นเลือดหัวใจตีบ ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะพบแพทย์ด้วยเรื่องเหนื่อยเวลาออกกังกาย มีการทดลองพบว่าการออกกำลังกายสามารถทำให้หัวใจทำงานได้ดีขึ้น
  8. การออกกำลังกายในคนสูงอายุ การทำงานของหัวใจในผู้สูงอายุจะลดลงแม้ว่าจะไม่มีโรค พบว่าการออกกำลังกายในผู้สูงอายุจะทำให้หัวใจเต้นช้าลง และการทำงานของหัวใจดีขึ้น มีการเปรียบเทียบการทำงานของหัวใจของคนที่ออกกำลัง และคนที่ไม่ได้ออกกำลังกาย พบว่าการทำงานของผู้ที่ออกกำลังกายดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังกาย
  9. การออกกำลังกายทำให้หัวใจเล็กลง ได้มีการทดลองในหนูที่มีกล้ามเนื้อหัวใจหน้าจากความดันโลหิตสูง พบว่าหนูที่ให้ออกกำลังโดยการว่ายน้ำจะมีความหนาของกล้ามเนื้อหัวใจลดลง การใช้ออกซิเจนของกล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น
  10. สำหรับผู้ที่มีลิ้นหัวใจรั่วหรือลิ้นหัวใจตีบต้องแก้ไขโดยการผ่าตัด
ปัจจัยเสี่ยงของการออกกำลังกาย
ปัจจัยเสียงของการออกกำลังกายคือปัจจัยที่อาจจะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิขณะหรือหลังการออกกำลังกาย พบว่าปัจจัยที่สำคัญได้แก่
  • อายุ คนที่มีอายุมากมักจะมีภาวะเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และอาจจะมีโรคหัวใจอยู่โดยที่ไม่เกิดอาการ เมื่อออกกำลังกายอาจจะทำให้เกิดอาการหัวใจวาย ดังนั้นผู้สูงอายุหากจะออกกำลังกายต้องได้รับการประเมินจากแพทย์
  • ผู้ที่มีโรคหัวใจอยู่ก่อน พบว่าผู้ที่มีโรคหัวใจจะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตหากออกกำลังกายหนัก เช่นการจ๊อกกิ่ง ดังนั้นผู้ที่สูงอายุ และมีโรคหัวใจต้องประเมินโดยแพทย์ก่อนออกกำลังกาย เพื่อกำหนดความหนัก ชนิดของการออกกำลังกาย หากมีการเฝ้าติดตามการเต้นของหัวใจโดยแพทย์จะทำให้เกิดความปลอดภัยสูงขึ้น
เริ่มต้นการออกกำลังกาย
  • คนที่มีโรคหัวใจต้องมีการอบอุ่นร่างกายนานกว่าคนทั่วไป แนะนำให้ใช้เวลา 10-15 นาทีในการอบอุ่นร่างกายแต่ละครั้ง
  • ความถี่ของการออกกำลังกายไม่ต้องถี่มากเหมือนคนปกติ แนะนำให้ออกกำลังกาย 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ หากผู้ป่วยเพลียก็ให้พักหนึ่งวันหลังการออกกำลังกาย
  • ความหนักของการออกกำลังกาย ให้พิจารณาเป็นรายบุคคล เพราะสภาพโรคหัวใจที่ต่างกัน ความรุนแรงต่างกัน การกำหนดความแรงของการออกกำลังกายแพทย์จะเป็นผู้กำหนด โดยมีการทดสอบทั้งก่อน ขณะหรือหลังการออกกำลังกาย เพื่อหาความเหมาะสม ความแรงของการออกเริ่มตั้งแต่ 50-80%ของอัตราการเต้นหัวใจเป้าหมาย
  • ระยะเวลาในการออกกำลังประมาณ 20-30 นาที
  • ชนิดของการออกกำลังกายควรจะเป็นแบบแอโรบิค เช่นการเดิน การว่ายน้ำ การขี่จักรยานอยู่กับที่
  • เริ่มต้นการออกกำลังกายควรจะอยู่ในความดูแลของแพทย์ เพื่อประเมินสภาพของร่างกาย โรคแทรกซ้อน การเฝ้าติดตามการเต้นของหัวใจ และให้ผู้ป่วยเรียนรู้อาการ หรือสันญาณเตือนภัย หลังที่เฝ้าติดตามแล้วหากไม่มีความเสียง แพทย์จะให้ออกกำลังกายที่บ้าน แต่ต้องไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อประเมินผลของการออกกำลังกาย
ข้อแนะนำสำหรับผู้ป่วยที่จะออกกำลังกาย
  • ปรึกษาแพทย์ของท่าว่าจะออกกำลังกายนานแค่ไหน ออกกำลังกายอย่างไร หนักแค่ไหน ถี่แค่ไหน
  • อย่าออกกำลังกายขณะท้องว่าง หลังรับประทานอาหารหนึ่งชั่วโมงจึงออกกำลังกาย
  • ควรออกกำลังกายในร่มหากอากาศร้อน หรือหนาวจัด
  • อย่ากลั้นหายใจขณะออกกำลังกาย ให้หายใจปกติ การหายใจไม่ควรติดขัด และควรจะพูดคุยได้ไม่เหนื่อยหอบ
  • ให้อบอุ่นร่างกายและมีการยืดหยุ่นกล้ามเนื้อก่อนการออกกำลังกาย
  • อาจจะเข้าออกกำลังกายในศูนย์ที่มีเครื่องมือและเจ้าหน้าที่พร้อม
  • ใส่เสื้อผ้าที่ไม่หนาเกินไป
  • ออกกำลังกายให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน
  • ควรจะมีเพื่อนร่วมออกกำลังกายด้วย
  • อย่าให้ร่างกายขาดน้ำ โดยการดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนการออกกำลังกาย
  • ให้บันทึกระยะเวลา และระยะทางที่ออก

วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

มาดูกันค่ะ ว่าเจ้าสิวบนหน้านี้บอกอะไร

ตำแหน่งสิว ชี้โรค


....................................................................................................................................


1.หน้าผากด้านซ้ายและขวา
เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ แลต่อมหมวกไต
สาเหต มีความเครียดสูง ล้างหน้าไม่สะอาด ทารองพื้นหรือแต่งคิ้วมากไป 

2. บริเวณหว่างคิ้ว อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส ( ดื่มนมวัวไม่ได้ )
สาเหตุ เพราะกินอาหารรสจัด หรือกินอาหารดึกเกินไป 

3.บริเวณใบหูทั้ง 2 ข้าง เกี่ยวข้องกับการทำงานของไต   
สาเหตุ ล้างแชมพูหรือสบู่ออกไม่หมด ใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป ดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์ หรือกินเนื้อสัตว์มากเกินไป หรือหากมีปัญหาสิวอุดตันช่วงใบหู อาจแสดงว่าฟันกรามมีปัญหา หรือว่าเพิ่งผ่าตัดฟันมา หรืออาจเกิดจากการมีรอบเดือน 

4.บริเวณแก้มทั้ง 2 ด้าน แก้มส่วนบน เกี่ยวข้องกับไซนัสและปอด แก้มส่วนล่าง เกี่ยวข้องกับเหงือกและฟัน
สาเหต  สูบบุหรี่จัด หรือแพ้ควันบุหรี่   ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรังหรืออาจใช้บลัชออนและรองพื้นไม่เหมาะสม แต่ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้มอาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็นๆหายๆที่แก้มด้านลางอาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน หรือโทรศัพท์มือถือไม่สะอาด

5.บริเวณรอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง เกี่ยวข้องกับการทำงานของไต โรคภูมิแพ้ 
สาเหตุเครื่องสำอางที่ใช้อาจไม่เหมาะกับสภาพผิวหรือใส่แว่นตาที่เสียดสีมาก รอยคล้ำอาจเกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก หรือพักผ่อนน้อย เปลือกตาหากมีการระคายเคืองอาจมาจากการเป็นภูมิแพ้หรือขาดสารอาหาร 

6. บริเวณจมูกและเหนือริมฝีปาก เกี่ยวกับการทำงานของหัวใจและระบบสืบพันธุ์ หากมีผิวมีแดงเข้มที่จมูก อาจบ่องบอกถึงโรคความดันโลหิตสูง การอุดตันหรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ บอกถึงผลกระทบจากฮอร์โมนเช่น กำลังมีประจำเดือน วัยทอง การใช้ยาคุมกำเนิด 

7.บริเวณใต้ริมฝีปากด้านซ้ายและขวา เกี่ยวข้องกกับการทำงานของรังไข่
สาเหตุ อาจทำความสะอาดไม่ดีพอ หรือมาจากขาดความสมดุลทางฮอร์โมน  

8.บริเวณปลายคาง เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก  
สาเหตุ อาจกินอาหารรสจัดเกินไปจนลำไส้เป็นแผล หรือมีปัญหาในการดูดซึม

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อาหารเช้ากับสุขภาพ

  
       1.อาหารเช้าช่วยควบคุมโรคอ้วน และน้ำหนักได้เป็นอย่างดี นั่นเพราะจากมื้อดึกจนถึงเช้าวันใหม่ เราอดอาหารมานานเกือบ 12 ชั่วโมง และหากเรายิ่งไม่ทานอาหารเช้าเข้าไปอีก จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง จนไปเพิ่มแนวโน้มการรับประทานอาหารที่มีพลังงานและไขมันสูงในมื้อเที่ยงมากขึ้น และนี่ก็เป็นสาเหตุให้มีน้ำหนักเกินและโรคอ้วนได้อย่างไม่รู้ตัว

          2.ผลการวิจัยจากสมาคมแพทย์โรคหัวใจในอเมริกาเมื่อปี 2003 พบว่า การรับประทานอาหารเช้าอย่างสม่ำเสมอ อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดสมองและโรคหัวใจได้ด้วย เพราะในตอนเช้าเลือดของเรามีความเข้มข้นสูง และทำให้เส้นเลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมอง หรือหัวใจอุดตันได้ แต่ถ้ารับประทานอาหารเช้าเข้าไป จะช่วยให้ระดับความเข้มข้นในเลือดเจือจางลง

          3.มีการวิจัยพบว่า การรับประทานอาหารเช้ามีส่วนเพิ่มประสิทธิภาพการเรียน การทำงาน ทำให้ระบบความจำ ทักษะการเรียนรู้ และอารมณ์ดีขึ้น แต่หากใครไม่ทานอาหารเช้า จะมีสมาธิน้อยลง และสมองก็ทำงานได้ไม่เต็มที่

          4.ช่วยลดโอกาสเกิดโรคนิ่ว การไม่รับประทานอาหารนานกว่า 14 ชั่วโมงจะทำให้คอเลสเตอรอลในถุงน้ำดีจับตัวกันนาน หากนาน ๆ ไปสิ่งที่จับตัวกันนั้นจะกลายเป็นก้อนนิ่ว แต่หากเราทานอาหารเช้าเข้าไปล่ะก็ มันจะไปกระตุ้นให้ตับปล่อยน้ำดีออกมาละลายคอเลสเตอรอลที่จับตัวกันอยู่ได้

          5. ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้ โดยคนที่รับประทานอาหารเช้าจะมีภาวะผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน หรือที่เรียกว่าภาวะดื้อต่ออินซูลินซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานนั้นลดลงถึง 35-50% เลยทีเดียว

          6.สำหรับเด็ก ๆ การอดอาหารเช้าเป็นประจำ อาจทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ส่งผลให้ร่างกายไม่แข็งแรง การเจริญเติบโตไม่เป็นไปตามเกณฑ์ และยังส่งผลต่อสติปัญญา ทำให้ขาดสมาธิ ส่งผลเสียในระยะยาวอีกด้วย


ที่มา http://health.kapook.com/view2102.html

วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

มาดูแลสุขภาพของคุณแม่ของเราดีกว่าน่ะค่ะ



เคล็ด (ไม่) ลับ ดูแลสุขภาพของคุณแม่สูงวัย 

          เพราะการเอาใจใส่ดูแลคุณแม่รวมถึงคนที่รัก ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะช่วงเทศกาลวันแม่หรือเวลาใดเวลาหนึ่ง เรืออากาศโทแพทย์หญิงนิจวิภา เพชรรุ่ง แพทย์ด้านเวชศาสตร์ความงามจาก ดีเอ็นเอ คลินิก กล่าวแนะนำว่า คุณแม่ทุกท่านไม่มีท่านใดอยากหยุดสวยหรืออยากมีโรคภัยไข้เจ็บ แต่ด้วยอายุที่เพิ่มมากขึ้น ร่างกาย ผิวพรรณจะร่วงโรยไปตามกาลเวลา ลูก ๆ ต้องคอยระวังและใส่ใจทุกเรื่องเป็นพิเศษ 

          เริ่มจากอาหารการกิน : เพราะระบบการเผาผลาญที่ไม่เหมือนตอนสาว ๆ ต้องระวังอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล เน้นอาหารที่ย่อยง่าย ช่วยชะลอวัย เช่น ผักและผลไม้ที่มีวิตามินสูง พบได้ในผลไม้กลุ่มเบอรี่และผักใบเขียวเข้ม เช่น บร็อกโคลี ผักโขม ควรรับประทานเนื้อปลาแทนเนื้อสัตว์อื่น ๆ หลีกเลี่ยงของทอด ของมัน อาหารปิ้งย่าง รวมถึงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง

          วัยของคุณแม่ส่วนมากจะเริ่มมีไขมันจับตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย การออกกำลังกายสม่ำเสมอตามความเหมาะสม ไม่หักโหม เช่น แอโรบิกหรือโยคะ จะช่วยให้หุ่นฟิตแอนด์เฟิร์ม ปลดปล่อยความเครียด ผิวพรรณแจ่มใส เลือดลมไหลเวียนได้สะดวก

          คุณแม่ที่มีอายุ 50+ ซึ่งเป็นวัยหมดประจำเดือน ต้องเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยทองอย่างมีคุณภาพ ควรพาไปพบแพทย์ เพื่อตรวจเรื่องกระดูกพรุน หรือกระดูกบาง ตรวจมวลกระดูก มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก เพราะยังเป็นโรคฮิตของผู้หญิงไทยอยู่ ดังนั้นอย่าอาย ให้กล้ามาตรวจจะได้รักษาได้อย่างรวดเร็ว 

          

ดูแลผิวพรรณ : นอกจากความงามจากภายในแล้ว การดูแลผิวพรรณก็เป็นสิ่งสำคัญมาก เมื่ออายุมากขึ้นเซลล์เริ่มเสื่อมสภาพ ผิวที่เคยชุ่มชื่นเปล่งปลั่งกลับแห้งกร้านและหย่อนคล้อย ต้องดูแลผิวเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยฟื้นฟูผิวร่วงโรยแห่งวัยโดยเฉพาะ ผสานการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ความงาม 

          สร้างความสุข ดูแลจิตใจ : เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะด้วยวัยของท่านที่มากขึ้นมักมีอารมณ์ขี้หงุดหงิด ขี้น้อยใจ ต้องพยายามทำให้จิตใจของท่านเบิกบาน ไม่ทำให้ท่านคิดมากหรือเครียด หาเวลาว่างไปเยี่ยม ทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว เช่น ทำอาหารเพื่อสุขภาพรับประทานกัน พาไปเที่ยวต่างจังหวัด ไหว้พระทำบุญร่วมกัน อย่าอายที่จะโผเข้าโอบกอด บอกรักจากใจ เพราะสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนยาวิเศษเหนือของขวัญราคาแพง ที่จะทำให้ท่านมีความสุขตลอดไป


 ที่มา http://health.kapook.com/view31150.html

กลับมาแล้วค่ะ......

เป็นยังไงกันบ้างกับวันหยุดยาวแบบนี้.....ได้บอกรักพ่อกะแม่กันบ้างไหมเอ่ยยย
บอกทุกวันก้ได้น่ะค่ะไม่จำเป็นต้องบอกแค่วันเดียว.....ไม่ต้องอายค่ะรักพ่อรักแม่เป็นสิ่งที่น่าชื่่นชมและเชิดชู

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ภัยเงียบที่คุกคามมากับความเครียด


เพ็ญพิชชากร แสนคำ นักกายภาพบำบัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับโครงสร้างร่างกาย จากสถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย อริยะ (ARIYA WELLNESS CENTER) กล่าวว่า ความเครียดแบ่งออกได้ 2 ชนิด ได้แก่
1. Acute stress เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นในทันทีและร่างกายก็จะตอบสนองโดยการแสดงออกมา ทันที ซึ่งความเครียดนี้ จะเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ เกิดผลกระทบต่อสภาพร่างกายและจิตใจไม่นาน แต่ถ้าบ่อยก็จะส่งผลเป็นความเครียดแบบเรื้อรังได้
2. Chronic stress เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นซ้ำๆ กับภาวะร่างกายและจิตใจทุกวันๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำที่รุมเร้าคนในสังคมปัจจุบัน ความเครียดจากปัญหาจากการทำงานที่เป็นภาวะที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ความหน้าเบื่อจากการทำงาน จากเพื่อนร่วมงาน จากเจ้านายที่ไม่ได้ดังใจ แต่ไม่มีทางเลือกและไม่อาจจะแสดงออกมาได้ ฯลฯ ความเครียดชนิดนี้จะค่อยๆ บั่นทอนสุขภาพร่างกายและจิตใจอย่างช้าๆโดยที่คุณไม่รู้สึกตัวได้แต่มันจะ เป็นการฝังลึกลงในจิตใต้สำนึกแต่คุณก็ยังปฏิเสธว่าคุณไม่ได้เครียด
ทุก ครั้งที่เกิดภาวะเครียด โดยเฉพาะความเครียดเรื้อรังนั้นมีผลโดยตรงต่อการทำงานของร่างกาย ทุกระบบจะทำงานหนักมากขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้ กลไกลที่ผลต่อร่างกายก็คือ เมื่อภายใต้จิตสำนึกของคุณเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งเรียกว่า อะดรีนาลิน (Adrenaline) ผลของฮอร์โมนชนิดนี้กระทบและเป็นผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก เมื่อร่างกายมีการหลั่งจะทำให้หลอดเลือดในร่างกายบีบตัว การไหลเวียนของเลือดไปสู่อวัยวะต่างๆ น้อยลง หัวใจต้องทำงานหนักบีบตัวสูงขึ้น ความดันเพิ่มขึ้น
แต่หากมี ภาวะไขมันในหลอดเลือดก็อาจเสี่ยงต่อการเป็นเลือดอุดตัน ภาวะขาดเลือดในอวัยวะสำคัญ ๆ เช่น หัวใจ สมอง เป็นต้น การทำงานของอวัยวะต่างๆ ด้อยประสิทธิภาพลง เช่นหายใจไม่อิ่ม เหนื่อยง่าย ,กระเพาะอาหารหลั่งกรดออกมามาก ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ท้องผูก ร่างกายไม่สามารถขับพิษได้ ตับและไตก็ต้องทำงานหนักขึ้น ,สมรรถภาพทางเพศลดลง ปวดเมื่อยตามร่างกาย หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ ระบบภายในร่างกายต้องทำงานสูงเกิดการดึงอินซูลินในระบบเลือดมาใช้ กระตุ้นให้กินมาก เกิดโรคอ้วนได้ ฯลฯ
นอกจากนี้ หนึ่งในอาการ ทางร่างกายที่บ่งบอกได้ง่ายที่สุดคือ อาการของระบบกระดูกกล้ามเนื้อ เมื่อคุณเครียดฮอร์โมนที่เป็นตัวร้ายจะเริ่มคุกคาม ทำให้กล้ามเนื้อของคุณเกร็งตัวมากกว่าปกติ คุณจะรู้สึกเมื่อยล้าในร่างกายอย่างบอกไม่ถูก ไม่กระปรี้กระเปร่า ง่วงนอน หาวบ่อยๆ และกล้ามเนื้อส่วนที่มีปัญหามากที่สุดก็คือ กล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอ กล้ามเนื้อเหล่านื้จะเป็นมัดเล็กๆ เป็นริ้วๆ เกาะตามขอบของท้ายทอย เป็นทางผ่านของหลอดเลือดที่เลี้ยงสมอง และเลี้ยงอวัยวะต่างๆบนศีรษะ บริเวณนี้จะเตือนคุณได้มากที่สุด คุณจะปวดคอ ปวดบ่า บางรายร้าวไปที่หลัง รอบสะบัก หายใจแล้วเสียวในช่องอก มากขึ้นเรื่อยขนาดปวดร้าวขึ้นศีรษะ เหมือนเป็นไมเกรน เนื่องจากกล้ามเนื้อหดตัวมากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ตา,ปากอาจกระตุกด้วย
ฉะนั้น จึงควรดูแลให้ถูกทาง คือทำกล้ามเนื้อให้มีความยืดหยุ่นดี กระดูกควรอยู่ในแนวที่ปกติ เส้นเลือด เส้นประสาท ระบบขับสารเสีย ระบบน้ำเหลืองไหลเวียนได้ดี ทั้งนี้ไม่ใช่แค่การไปคลายที่คออย่างเดียวเพราะกล้ามเนื้อเกี่ยวพันกันอยู่ ทุกส่วน ควรปรับสมดุลให้โครงสร้างร่างกาย เพราะถ้าปรับสภาวะให้โครงสร้างสมดุลแล้วระบบเลือด น้ำเหลือง เส้นประสาทจะไหลเวียนได้เต็มที่ มีผลให้ร่างกาย หลังฮอร์โมนชนิดดีที่จะทำงานตรงกันข้ามกับ adrenaline นั่นคือ Endorphine ซึ่งเป็นสารสุขให้กับร่างกาย หากต้องการดูแลด้วยตนเองก่อนก็อาจผ่อนคลายด้วยการนวดเบาๆ อบ/ประคบร้อน ไม่ควรทำแรงบริเวณคอเพราะมีเส้นเลือดและกล้ามเนื้อที่สำคัญมาก หากต้องการรักษาก็ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของระบบกระดูกกล้ามเนื้อจะดี กว่า ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาเพราะจะส่งผลเสียมากขึ้น 


วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อาหาร เจ็ดอย่างที่ควรรัปประทานให้ได้




1. ถั่ว มีทั้งโปรตีน ใยอาหาร และไขมันที่มีประโยชน์ นอกจากนี้ ยังมีวิตามินอีซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมอง

2. ไข่ อุดมไปด้วยโปรตีน โดย 1 ฟองจะมีโปรตีนคุณภาพดี 6 กรัม และกรดอะมิโนสำคัญอีก 9 ชนิด อีกทั้งยังมีไขมันซึ่งให้พลังงานแก่สมองได้นานหลายชั่วโมง ซีลีเนียมในไข่ออร์แกนิกก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า จะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้

3. สาหร่ายทะเล สาหร่ายทะเล มีไอโอดีนและโอเมก้า 3 สูงจัดว่าเป็นอาหารบำรุงสมองอย่างหนึ่ง ที่สำคัญและยังช่วยให้เส้นผมดกดำได้อีกด้วย

4. มะเขือเทศ ในมะเขือเทศ มันจะมีไลโคพีน ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ สามารถช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระที่เราสามารถพบในอาการ ของโรควิกลจริต และอัลไซเมอร์

5. นมถั่วเหลือง มีวิตามินบี 6 ที่ช่วยการทำงานของสมอง สร้างระบบภูมิต้านทานของร่างกาย อีกทั้งยังมีวิตามินอี และกรดไขมันจำเป็นอื่น ๆ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส มีธาตุเหล็ก ที่เสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง รวมทั้ง เลซิธิน (Lecithin) สารประกอบของฟอสฟอรัสกับไขมัน ที่ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแข็งตัว โรคหัวใจ และช่วยบำรุงสมองด้วย

6. กล้วย มีส่วนประกอบของวิตามิน B6 ที่ช่วยในการทำงานของสมองทั้งยังรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของคุณให้คงที่ ซึ่งมีผลไปถึงอารมณ์ของคุณด้วย จากการวิจัยพบว่ากล้วยซึ่งอุดมไปด้วยโปแตสเซียมนี้ช่วยให้นักเรียนรู้สึกตื่นตัวมากขึ้นทำให้เรียนได้ดีขึ้นในที่สุด



7. สตรอเบอร์รี ผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเป็นอาหารสมอง เส้นเลือด และหัวใจ ไม่ว่าเด็กๆ ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงวัยก็กินได้ เพราะสตรอเบอร์รี่มีสารอาหารหลากหลาย มีวิตามินซีเป็น 10 เท่าของแตงโม แอปเปิล และองุ่น และมีส่วนช่วยลดโอกาสการเป็นโรคมะเร็งด้วย

มาบำรุงสมองก่อนสอบกันนะค่ะ




สมองเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย หากสมองได้รับการดูแลรักษาที่ดีย่อมเป็นผลดีต่อสุขภาพของคนๆนั้น เรื่องอาหารการกินเป็นปัจจัยหนึ่งทีมีผลต่อการทำงานของสมอง การรู้จักเลือกกินอาหารที่มีสารอาหารช่วยบำรุงสมองจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารบำรุงสมองแล้วนำไปใช้ในการซ่อมแซมหรือทำให้การทำงานและสุขภาพของสมองเจริญเติบโตแข็งแรงสามารถทำงานตามหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ



โอเมก้า-3 มีอยู่ในปลาทะเลน้ำลึกเป็นสารอาหารบำรุงสมองตัวสำคัญที่เป็นรู้จักกันดี เป็นไขมันที่ไม่อิ่มตัวกลุ่มหนึ่งมีอยู่ในปลาแซลมอน ปลาทูน่า ฯลฯ ที่ถูกเรียกรวมๆ ว่า โอเมก้า-3 มีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์กับสมองหลายอย่างโดยเฉพาะมีฤทธิ์ต่อจิตใจ ทำให้สมองกระฉับกระเฉงและมีสมาธิดีขึ้น สารอาหารโอเมก้า-3 จะกระตุ้นให้เซลล์สมองมีความไวต่อการรับสัญญาณประสาท เมื่อโอเมก้า-3 เข้าสู่ร่างกายจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและถูกส่งต่อไปยังตับและสมองเพื่อสร้างเซลล์ประสาททำให้การทำงานของสมองดีขึ้น



โคลีน เป็นสารอาหารบำรุงสมองที่ได้จากอาหารบำรุงสมองจำพวก ข้าวกล้อง ข้าวโพด ผักใบเขียวต่างๆ โดยโคลีนจะมีมากในส่วนที่เป็นจมูกข้าวโพด ดังนั้นการนำข้าวโพดมาทำอาหารเพื่อให้ได้สารอาหารโคลีนจึงต้องใช้มีดคมฝานให้ลึกถึงซังข้าวโพด อาการที่ร่างกายขาดโคลีนคือ ปัญหาทางด้านความจำ หลงลืม เศร้าหมอง ขาดสมาธิและจิตใจหดหู่

แมงกานีส เป็นสารอาหารบำรุงสมองอีกชนิดหนึ่งที่เป็นเกลือแร่ช่วยควบคุมดูแลสุขภาพของสมองและระบบประสาท อาหารบำรุงสมองที่มีแมงกานีสมากได้แก่ อาหารทะเล ตับหมู ผักใบเขียวเข้ม นอกจากนี้ผลไม้ที่มีสารอาหารแมงกานีสได้แก่ แอปเปิ้ล มะม่วง เป็นต้น

วิตามินบี เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นในการทำงานของระบบประสาทและสมอง ซึ่งแยกออกได้หลายชนิดดังนี้ วิตามินบี 1 ช่วยสร้างเซลล์ประสาทให้แข็งแรงมีอยู่ในอาหารบำรุงสมองจำพวกเมล็ดธัญพืชหรืออาหารที่ปรุงจากเมล็ดข้าวเช่น ขนมปัง พาสต้า ฯลฯ วิตามินบี 5 ช่วยในการสร้างโคเอ็นไซม์ที่ใช้ถ่ายทอดสัญญาณประสาทมีมากในอาหารบำรุงสมองประเภทเนื้อวัว ไก่ ปลา สัตว์ปีกและเมล็ดพืชที่เป็นฝักเช่น กระถิน ถั่ว ฯลฯ วิตามินบี 6 เป็นสารอาหารที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความนึกคิดของคน พบได้ในอาหารจำพวก เครื่องในสัตว์ ปลาและเมล็ดถั่วที่เป็นฝัก วิตามินบี 12 เป็นสารอาหารที่ช่วยสร้างความสมบูรณ์ให้เซลล์เม็ดเลือดแดง บำรุงรักษาเนื้อเยื่อประสาท พบในอาหารจำพวก ไข่ นม ปลา และผลิตภัณฑ์จากนมต่าง ๆ

กรดโฟลิค เป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ พบมากในอาหารจำพวก กล้วย ส้ม มะนาว ผักใบเขียว ถั่วเหลืองและธัญพืชต่างๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองกรดโฟลิคเป็นสารอาหารสำคัญต่อระบบการเผาผลาญกรดไขมันโมเลกุลยาวในสมอง

แมกนีเซียม โปแตสเซียมและแคลเซียม ล้วนเป็นสารอาหารที่มีผลต่อการทำงานของระบบประสาท มักจะพบมากในอาหารบำรุงสมองจำพวกผักใบเขียวเข้ม ผลไม้และธัญพืชต่างๆ นอกจากนี้การกินผักและผลไม้จะทำให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระ(Antioxidant) ที่มีประโยชน์ในเรื่องชะลอการเสื่อมของสมองที่อายุมากขึ้นและช่วยป้องกันไม่ให้สมองถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ

นอกจากการรู้จักเลือกกินอาหารบำรุงสมองเพื่อให้ได้สารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกายแล้ว สิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วยคือการมีพฤติกรรมการบริโภคที่ดีได้แก่ การไม่งดอาหารเช้า รับประทานอาหารให้ตรงเวลา หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและฝึกการใช้สมอง(ความคิด)ด้วยกิจกรรมฝึกสมอง สิ่งเหล่านี้จะช่วยบำรุงรักษาและชะลอการเสื่อมของสมองอย่างได้ผลดีกว่าการใช้อาหารบำรุงสมองเพียงอย่างเดียว.
แนะนำ 6 สุดยอดอาหารบำรุงสมอง
1. ปลาทะเลน้ำลึก อย่างปลาแซลมอน : รู้หรือเปล่า? สมองมีไขมันเป็นส่วนประกอบมากกว่า 60%เชียวนะคะ ซึ่งมันหมายความว่าเราต้องการไขมันชั้นดีอย่างโอเมก้า 3 นั่นเองค่ะ
2. แครนเบอร์รี่ : จากการศึกษาพบว่าสารในแครนเบอร์รี่ช่วยต่อต้านอาการป่วยเรื้อรังของสมอง อย่างอาการความจำเสื่อม
3. ขมิ้น : เครื่องเทศสำคัญที่เอาไว้ใส่ในแกงกะหรี่แสนอร่อยนี่ล่ะค่ะ สีเหลืองของมันช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ(ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ ความจำเสื่อมได้)
4. ข้าวไม่ขัดสี : ข้าวกล้องดีต่อสุขภาพเสมอ นอกจากข้าวกล้องจะเป็นแหล่งพลังงานชั้นดีแล้ว ยังให้โปรตีนที่ผลิตกรดอะมิโนที่เป็นตัวส่งสารอาหารไปยังสมองด้วย
5. สตรอเบอร์รี่ : จากการทดลองให้สตรอเบอร์รี่กับหนูที่อายุมาก พบว่ามันช่วยพัฒนาทั้งประสิทธิภาพในการเรียนรู้และประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อสมอง
6. ผักโขม : ช่วยชะลอปัญหาในเรื่องประสิทธิภาพของสมองส่วนกลาง และการรับรู้ที่เสื่อมลงไปตามวัย สลัดผักขมสักชามให้โฟเลทสูงด้วยนะคะ
  จะสอบแล้ว กินน้ำซักแก้วก็แจ่ม

วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

12 เทคนิคกันสมองเหี่ยว




   ดื่มน้ำให้พอ เพราะสมองของคนเราประกอบด้วยน้ำถึง 85% ดังนั้นเมื่อร่างกายขาดน้ำ สมอง ก็จะทำงานช้าลง ทำให้กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดอะไรไม่ค่อยออก 

แต่การดื่มน้ำนั้น แต่ละคนจะมีความต้องการน้ำไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับน้ำหนัก และพฤติกรรมต่าง ๆ ทั้งการเคลื่อนไหว และการบริโภค แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำวันละ 3-5 ลิตร ส่วนเด็ก 2-3 ลิตร 

   หายใจลึก ๆ ช่วยส่งพลังงานไปถึงสมอง ถ้านั่งหายใจ หลังก็ควรจะตั้งตรง จะช่วยให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น และถ้านั่งนานเกินไปควรเปลี่ยนอิริยาบถ ยืดเส้น ยืดสาย เพื่อให้ปอดขยาย 

   เลือกรับประทานอาหาร ที่มีไขมันดีทดแทนไขมันในสมองที่สึกหรอ อาทิ น้ำมันปลา สารสกัดจากใบแปะก๊วย ปลาแซลมอน อีฟนิ่งพริมโรส วิตามินซี 

   ตั้งโปรแกรมให้สมอง โดยใช้ความตั้งมั่นตั้งใจอย่างจริงจัง สมองจะค่อย ๆ ปรับพฤติกรรมให้ไปสู่เป้าหมายได้ 

   หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ไปกระตุ้นพลังออร่าให้สว่างสดใสจะช่วยดึงดูดสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต 

   ฝึกสมาธิพัฒนาอารมณ์ให้สมองผ่อนคลาย จะช่วยทำให้มีจินตนาการมีความคิดสร้างสรรค์ สามารถทำได้ทั้งตื่นเช้าหรือก่อนนอนทุกวัน 

   ออกกำลังกาย กระตุ้นการทำงานของสมองพร้อมกับดื่มน้ำบ่อย ๆ 

   หาอะไรใหม่ ๆ ให้ชีวิต เช่น รู้จักคนใหม่ ๆ อ่านหนังสือเล่มใหม่ ขับรถเส้นทางใหม่ หรือแลกเปลี่ยนทัศนคติใหม่ ๆ กับเพื่อน สมองจะหลั่งสารแห่งความสุข (เอ็นดอร์ฟิน) และสารแห่งการเรียนรู้ โดปามีน ทำให้เกิดการอยากเรียนรู้อย่างมีความสุข 

   รู้จักให้อภัยและลดความโกรธ จะทำให้สูญเสียพลังงานน้อยลง และยังเป็นการช่วยลดภาระให้กับสมอง 

   พูดเรื่องดี ๆ กับตัวเองซ้ำ ๆ ให้เกินวันละ 100 ครั้ง 

   บันทึกสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันลงในสมุดบันทึก ช่วยทำให้สมองคิดในเชิงบวก ทำให้หลับฝันดี มีสมาธิ 

   พักผ่อนให้เพียงพอ โดยช่วงเวลา 21.00 น. จะเป็นช่วงเวลานอนที่ดีที่สุด 

เรื่องนี้ไม่ใช่เหมาะสำหรับเด็ก แต่เป็นเรื่องที่ทุกเพศ ทุกวัยสามารถปฏิบัติได้เป็นการยืดอายุสมอง ให้อยู่กับเราไปได้นานเท่านาน!!  



ที่มา http://health.giggog.com/103770