วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

สุดยอดอาหารบำรุงสายตาที่ควรรู้



ผลแอปริคอท
ผลแอปริคอทมันหวาน แคนตาลูป และน้ำเต้านั้น อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนที่เป็นตัวช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยบำรุงสายตา และช่วยในการป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก

ผักเคล หรือ กะหล่ำปลีชนิดสีเขียวเข้ม
เคล กะหล่ำปลีชนิดสีเขียวเข้ม ผักขม หัวผักกาดเขียวและบล็อคโครี่นั้น มีคุณประโยชน์ คือให้วิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตาให้มีประกายที่สดใส มีเบต้าแคโรทีน และยังช่วยต้านการเกิดโรคมะเร็ง มีแคลเซียม วิตามินซี และเส้นใยอาหารสามารถป้องกันโรคโลหิตจางได้อีกด้วย

ถั่วสีน้ำตาลแดง
ถั่วสีน้ำตาลแดง นั้นเพรียบพร้อมไปด้วยสังกะสีที่ดีต่อสายตา อีกทั้งวิตามินเอก็เป็นส่วนช่วยปกป้องเยื่อชั้นในของลูกตา

ส้ม
วิตามินซีที่พบได้ในผักและผลไม้ เช่น ส้ม มะเขือเทศ และพริกหวานนั้นสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจก อีกทั้งช่วยในการไหลเวียนเลือดในดวงตา วิตามินซีในส้มนั้นยังสามารถช่วยป้องกันโรคหวัด และนอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายอีกด้วย

ถั่วชนิดต่างๆ
อัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวันและเฮเซิลนัต อุดมไปด้วยวิตามินอี และมีคุณประโยชน์มากมายในการช่วยป้องกันสายตา วิตามินอีเป็นที่รู้จักกันว่า เป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ให้ผลในการป้องกันการทำลายของเซลล์ และยังช่วยในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ ที่อวัยวะต่างๆ เช่น เซลล์ของตา ตับ เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานและอายุการใช้งานของอวัยวะเหล่านี้นานขึ้น

ปลาแซลมอน
เนื้อปลาแซลมอนนั้นมีกรดไขมันโอเมก้า 3 และ DHA ที่สามารถช่วยปกป้องจากโรคภัยไข้เจ็บ อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของโรคตาและยังสามารถช่วยลดอากาตาแห้งได้อีกด้วย

โฮลเกรน ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี
โฮลเกรน คือ ธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อย นั้นมีเส้นใยอาหารสูง โดยเฉพาะข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้ง งา ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวบาเล่ย์ ที่อุดมด้วยวิตามินอี วิตามินบีรวม แร่ธาตุต่างๆ และใยอาหาร มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งช่วยปกป้องการเสื่อมสภาพของเซลล์ เสริมสร้างระบบประสาทและเซลล์เม็ดเลือดแดงให้แข็งแรงสมบูรณ์


ที่มา http://archive.voicetv.co.th/

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

น่ารู้! ประโยชน์ของน้ำดื่ม

ประโยชน์ของน้ำดื่ม


ความอัศจรรย์ของพลังน้ำที่มีกับพวกเรา ๆ ทุกคนนั้น เริ่มขึ้นหลังจากที่เราดื่มน้ำหรืออาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบน้ำก็จะไปถูกดูดซึมที่ลำไส้เล็กแล้วไปรวมเดินทางผจญภัยตามเซลล์ต่าง ๆ กับเลือดทั่วตัวของเรา

จากนั้นก็เริ่มกระจายกำลังกันออกทำหน้าที่ต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่เป็นองค์ประกอบในเนื้อเยื้อและอวัยวะต่าง ๆ (เกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวคือน้ำ) ไปเป็นตัวทำละลายสารอาหารช่วยลำเลียงแร่ธาตุ วิตามิน และเลือดให้ไหลเวียนไปบำรุงหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย (ซึ่งมีไม่น้อยกว่า 75 แสนล้านเซลล์) 

หนำซ้ำคุณเธอยังใจดีรับของเสียจากเซลล์ต่าง ๆ กลับออกมาทิ้งให้ด้วย อีกทั้งเป็นที่ช่วยควบคุม กระจาย และขับความร้อนในร่างกายให้อยู่ในภาวะปกติ ช่วยให้สดชื่นสบายตัวไม่ให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ 

นอกจากนั้นน้ำยังเป็นเหมือนน้ำมันเครื่องคอยหล่อลื่นอวัยวะภายในร่างกายต่าง ๆ ไม่ให้เสียดสีกัน จนชำรุดสึกหรอและบำรุงผิวให้สวยใสไม่แห้งเหี่ยวก่อนวัยอันควร และเมื่อได้เที่ยวสนุกจนเพลินใจแล้ว น้ำซึ่งหอบของเสียกลับมาก็จะถูกขับออกจากร่างกายในรูปของเหงื่อ ลมหายใจ และปัสสาวะ ถือเป็นการสิ้นสุดทัวร์ของน้ำในร่างกายเขาล่ะ 

เห็นมั้ยคะว่าน้ำสำคัญกับชีวิตและสุขภาพของเรามากเพียงไหน ฉะนั้นจะยกแก้วขึ้นดื่มน้ำคงต้องดูสักนิดว่า น้ำสะอาดหรือมีพิษภัยซ่อนอยู่บ้างหรือเปล่า (อย่าลืมสิคะว่าน้ำเป็นตัวทำละลายชั้นดีไม่ว่าจะเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์หรือสารพิษที่มีโทษน้ำก็ละลายมาไว้เก็บกับตัวได้ทั้งนั้น) ถ้าสุ่มสี่สุ่มห้ากินเข้าไปแบบไม่ระวังโดนท้องไส้ตับไตประท้วงกลับเอาบ้างแล้วจะมาบ่นทีหลังไม่ได้นะเออ...



น้ำดื่ม


เรื่อง "น้ำ" น่ารู้ 

- ผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วต่อวัน 

- อย่ารอให้รู้สึกกระหายน้ำก่อนถึงจะหาน้ำเย็น ๆ มาดื่ม เพราะนั่นแสดงว่าร่างกายสูญเสียน้ำไปแล้วประมาณ 2-3 แก้ว ทางที่ดีควรขยันจิบน้ำไปเรื่อย ๆ ทั้งวันจะดีกว่า 

- พยายามเลี่ยงการดื่ม กาแฟ ชา น้ำอัดลม ซึ่งมีคาเฟอีนและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะคาเฟอีนและแอลกอฮอล์จะไปกระตุ้นการขับปัสสาวะทำให้ร่างกายเสียน้ำมากขึ้น 

- น้ำเย็นจะซึมเข้าสู่ร่างกายได้เร็วและช่วยดับร้อนได้ดีกว่าน้ำอุ่น

- ร่างกายของเราไม่สามารถเก็บน้ำไว้ใช้ได้เราจึงต้องดื่มน้ำเป็นประจำ ถ้าร่างกายได้รับน้ำไม่พอก็จะเกิดภาวะขาดน้ำ อ่อนเพลีย หน้ามืด หรือช็อคหมดสติเป็นอันตรายได้ 

- การดื่มน้ำมาก ๆ ช่วยให้ไตไม่ต้องทำงานหนักมาก เนื่องจากน้ำจะช่วยให้ไตสามารถขับของเสียออกมาได้ดีขึ้น

- อย่าลืมเริ่มต้นวันใหม่และอำลาวันเก่าอย่างสดชื่นด้วยน้ำเปล่า 1 แก้วเป็นประจำทุกวัน 


ที่มา http://www.n3k.in.th/

10 การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ที่บ่งบอกว่าคุณกำลังเป็นโรค…

  1. ริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้า

       

       แม้ว่าริ้วรอยแห่งวัย จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเกิดขึ้นตามวัยก็ตามที แต่บางครั้งริ้วรอยก็บ่งบอกถึงสัญญาณของโรคกระดูกพรุนได้
     
       
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเยล ประเทศสหรัฐอเมริกา บ่งชี้ว่า ริ้วรอยบนใบหน้าของคุณสาวๆ อาจบอกได้ว่า เธอมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนมากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้เนื่องจากระดับโปรตีนในผิวหนังมีความเชื่อมโยงกับกระดูก ซึ่งการศึกษาพบว่า ริ้วรอยลึกและรอยหยาบกร้านบนผิวหนังสัมพันธ์กับความหนาแน่นของกระดูกที่ลดลง
     
       
ดังนั้นยิ่งใบหน้าและลำคอมีริ้วรอยมากเท่าไหร่ สาวนางนั้นก็จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้แม้ไม่รู้แน่ชัดถึงสาเหตุของความเกี่ยวโยงดังกล่าว แต่นักวิจัยชี้ว่า ผิวและกระดูกมีส่วนประกอบหนึ่งที่เหมือนกันนั่นคือ คอลลาเจน (Collagen) ดังนั้นคุณภาพของกระดูก จึงสะท้อนออกมาได้ทางผิวหนัง
       

 2. เล็บขาว-เล็บบุ๋ม
       

       หากคุณหลีกเลี่ยงการทาสีเล็บมานาน รักษาสุขภาพเล็บอย่างดีเยี่ยมแล้ว ก็ยังไม่วายเกิดปัญหาเล็บเหลืองเล็บบุ๋ม ล่ะก็ คุณอาจต้องไปพบแพทย์แล้วหล่ะ
     
       
เพราะเล็บสามารถบ่งบอกถึงความผิดปกในร่างกายได้มากมาย การเปลี่ยนแปลงของเล็บ (เช่น เปลี่ยนสี เกิดรอยบุ๋ม หรือบิดเบี้ยวผิดรูปไป) เป็นเรื่องปกติของผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน หรือผู้ที่ป่วยที่เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง รวมถึงหากจู่ๆ เล็บของคุณเปลี่ยนแปลงไป แถมยังมีอาการผมร่วงเป็นหย่อมๆ ร่วมด้วยก็เป็นสัญญาณว่า คุณอาจกำลังเป็นโรคที่เกี่ยวกับไขข้อค่ะ
     
       
นอกจากนี้เล็บยังบอกถึงความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอื่นๆ อีกเช่น เล็บเป็นร่อง บอกให้ทราบถึงความผิดปกติของของไต, เล็บเป็นลอน (ตามขวาง) บ่งบอกว่าฮอร์โมน (Hormone) ในร่างกายผิดปกติ ซึ่งอาจเพราะคุณกำลังมีโรคร้ายแรงจึงทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง, เล็บสีเขียวคล้ำ นั่นคือคุณอาจกำลังป่วยด้วยโรคหืดอย่างรุนแรง, โรคถุงลมโป่งพอง หรือโรคหลอดลมอักเสบ, เล็บขาว บอกถึงความผิดปกติของตับ ไต อาจมีภาวะโลหิตจาง หรือตับอักเสบเรื้อรัง เป็นต้น
     
       
เมื่อทราบว่าเล็บบอกโรคได้มากมายขนาดนี้ หมั่นสังเกตเล็บสักนิดนะคะ หากพบว่าผิดปกติก็อย่ารอช้า รีบตรวจหาสาเหตุ เพื่อจะได้ดูแลรักษาอย่างทันท่วงที


   3. เท้าบวม
       


       อาการเท้าบวม อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งอุบัติเหตุทำให้เคล็ดขัดยอกจนบวม, กรรมพันธุ์, ระหว่างตั้งครรภ์, ความอ้วน หรือการใช้ยาบางชนิดที่ทำให้มีการกักเก็บน้ำไว้ในขามากเกินไป
     
       
แม้อาการเท้าบวมจะดูไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่หากเกิดภาวะดังกล่าวขึ้นก็ไม่ควรวางใจ เพราะอาการเท้าบวมขาบวมนั้น ถือเป็นอาการสุดคลาสสิค อาการหนึ่งของโรคหัวใจ โดยอาการเท้าบวมในผู้ป่วยโรคหัวใจเกิดจากการที่หัวใจด้านขวาทำงานลดลง เลือดจากขาไม่สามารถไหลเข้าไปยังหัวใจด้านขวาได้โดยสะดวก จึงทำให้มีเลือดค้างอยู่ที่ขามากขึ้น


4. ปากเหม็น
     
       
อย่าคิดว่าปากเหม็นเป็นเพียงสัญญาณของโรคเหงือกและฟันเพียงอย่างเดียวนะคะ เพราะการที่คุณมีกลิ่นปาก ทั้งที่พยายามดูและสุขภาพในช่องปากเป็นอย่างดีแล้ว อาจเป็นผลเกี่ยวเนื่องมาจากความผิดปกติของหัวใจและกระดูกของคุณ
     
       
ในปี 2010 นักวิจัยชาวสก็อตแลนด์ เผยแพร่งานวิจัยในวารสารทางการแพทย์ของประเทศอังกฤษว่า การแปรงฟันช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้ โดยผู้ที่แปรงฟันอย่างสม่ำเสมอวันละ 2 ครั้ง มีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคหัวใจ น้อยกว่าผู้ที่ไม่ค่อยแปรงฟันมากถึง 70%
       

       นอกจากนี้การที่คุณมีภาวะฟันผุง่าย ยังเป็นการบ่งชี้ได้ถึงสัญญาณของโรคกระดูกพรุน เพราะการที่ฟันผุกร่อนได้ง่ายนั้น หมายถึงความหนาแน่นของกระดูกขากรรไกรที่น้อยลง จึงไม่แปลกเลยที่ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน มักฟันผุได้ง่าย


 5. ปื้นสีดำ หลังคอ
       

       หากคุณพบว่าด้านหลังคอของคุณ เป็นรอยดำปื้นๆ ขัดถูอย่างไรก็ไม่ออก อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโรคเบาหวานได้ เพราะคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า ผู้ที่มีผื่นผิวหนังเป็นรอย หรือเป็นแถบดำคล้ำแบบนี้ มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเบาหวาน ทว่าแม้จะมีความเสี่ยง แต่หากสังเกตเห็นแล้วรีบไปตรวจรักษาแต่เนินๆ การรักษาโรคก็ย่อมจะได้ผลดีกว่า
     
       
“รอยดำคล้ำ มันถือเป็นสิ่งกระตุ้นให้คุณต้องกังวลเป็นสองเท่า และลุกขึ้นมาป้องกัน ดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรคเบาหวาน” Heather Jones ผู้ช่วยแพทย์แห่งโรงพยาบาล Oregon Health & Science University และสมาชิกคณะกรรมการสมาคมแพทย์ผิวหนังระบุ


6. ผื่นผีเสือ บนใบหน้า
     
       
หากจู่ๆ ใบหน้าคุณมีผื่นขึ้น โดยเป็นผื่นตั้งแต่บริเวณสันจมูก ลากยาวไปที่โหนกแก้มทั้งสองข้างเป็นรูปคล้ายผีเสื้อ ทางการแพทย์เรียกว่า ผื่นผีเสือ (Butterfly Rash) ซึ่งผื่นผีเสื้อนี้มักพบในผู้ป่วยโรค SLE (Systermic Lupus Erythrematosus) ที่คนไทยเรารู้จักกันในนาม “โรคพุ่มพวง” หรือโรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง ฉะนั้นหากพบว่ามีผื่นลักษณะดังกล่าวอย่านอนใจ เร่งไปพบแพทย์ด่วนจี๋เลยจ้า


  7. ผมร่วง

     
       
แม้ผมร่วงจะมาได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่เกิดในผู้หญิงที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์, ความเครียด, การใช้ยาบางชนิด รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เหล่านี้ล้วนทำให้คุณต้องสูญเสียเส้นผมทั้งนั้น
     
       
แต่หากคุณสาวๆ ผมร่วงมากผิดปกติ จนแทบกลายเป็นสาวผมบางแล้วล่ะก็ นั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ต่อมไทรอยด์ของคุณทำงานผิดปกติ ฉะนั้นหากผมร่วงจนบาง โดยไร้สาเหตุ การพบแพทย์เพื่อตรวจเลือด ก็เป็นวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณตรวจพบความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ได้


8. ริมฝีปากแห้ง
       

       ริมฝีปาก ก็เป็นอีกส่วนที่บ่งบอกถึงสุขภาพของคุณได้ค่ะ หากริมฝีปากคุณแห้งและแตกอย่างรุนแรง อาจเป็นสัญญาณบอกถึงโรคภูมิแพ้ หรือหากบริเวณมุมปากแห้ง ก็เป็นการบ่งบอกว่าคุณอาจเป็น โรคโจเกรน(Sjogren’s syndrome) หรือที่คนไทยเรียกว่า “โรคปากแห้ง ตาแห้ง” ซึ่งโรคโจเกรนนี้ ถือเป็นหนึ่งในโรคแพ้ภูมิตัวเอง ที่ผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ ทำให้เกิดการอักเสบที่อวัยวะต่างๆ คล้ายกับโรคพุ่มพวง
     
       แต่ภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติในผู้ป่วยโรคโจเกรน มักจะไปทำให้เกิดการอักเสบที่ต่อมน้ำลาย และต่อมน้ำตา ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการตาแห้ง และปากแห้ง รวมถึงอาจมีอาการผิวแห้ง ปวดข้อ และอ่อนเพลียร่วมด้วย


  9. ตาเหลือง
     
       
ดวงตา นอกจากจะเป็นหน้าต่างของดวงใจแล้ว ยังเป็นหน้าต่างให้คุณได้มองเห็นโรคร้ายที่แฝงอยู่ในกายด้วย
     
       
ในภาวะปกติ ตาขาวควรจะสดใสสุขภาพดี ทว่าหากจู่ๆ ตาขาวเกิดเปลี่ยนเป็นสีเหลือง อาจเป็นสัญญาณของโรคตับ เช่น ตับแข็งหรือตับอักเสบ นอกจากนี้ยังสามารถบอกถึงอาการผิดปกติของถุงน้ำดีอีกด้วย ฉะนั้น “ตาเหลือง” คือ สัญญาณที่ไม่ปกติเอาเสียเลย หากส่องมองกระจกแล้วพบว่า ดวงตาขาวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้วล่ะก็ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติโดยด่วยนะจ๊ะ


10. ไฝเปลี่ยนสี มีขนาดใหญ่ขึ้น
     
       
หลายคนมีไฝติดตัวมาแต่กำเนิด ซึ่งนั่นก็มิใช่ความผิดปกติอันใด ทว่าหากจู่ๆ ไฝของคุณเกิดเปลี่ยนแปลง จากไฝเม็ดเล็กจิ๋ว ก็ใหญ่ขึ้นๆ หรือจากสีจางก็กลายเป็นเม็ดไฝสีที่เข้มขึ้นแล้วล่ะก็ เหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งผิวหนัง ที่บ่งบอกออกมาให้คุณได้ทราบ ดังนั้นไฝที่อยู่ติดกายมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ก็ต้องหมั่นสังเกตหน่อย หากมีการเปลี่ยนแปลง หรือผิดปกติ ก็ควรไปพบแพทย์เสียแต่เนิ่นๆ อย่างไรเสีย กันไว้ก็ดีกว่าแก้...จริงมั้ยคะ?


ที่มา http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9550000020233

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

เคล็ดลับเพิ่มพลังให้สดใสในตอนเช้า




ปรับนิสัยการนอน

         ถ้าคุณเป็นมนุษย์นกฮูก กลางคืนสามารถทำอะไรๆ ได้เป็นร้อยอย่างพันเรื่อง แต่พอเช้าวันใหม่กลับนอนตื่นสายเป็นนิสัยไม่มีเวลาทำอะไรแม้แต่กินอาหารเช้า อย่างนี้ก็ยากค่ะที่เช้าวันใหม่ของคุณจะสดชื่นแจ่มใส ไหนจะงัวเงียเพราะนอนไม่พอ ไหนจะรีบและเร่งกับกิจวัตรยามเช้า ไม่มีเวลาได้อ้อยอิ่งหรือชื่นชมกับอะไรทั้งสิ้น อย่างนี้ต้องปรับเวลาและนิสัยการนอนของคุณโดยด่วนค่ะ

         - กิจกรรมช่วงหัวค่ำมีผลกับคุณภาพการนอน และความสดชื่นในช่วงเช้าวันใหม่ ฉะนั้นช่วงหัวค่ำเลี่ยงกิจกรรมที่จะรบกวนการนอน กิจกรรมที่ทำให้คุณติดพันจนไม่เป็นอันนอน และอย่าลืมปิดลิ้นชักงานทิ้งไว้ที่ออฟฟิศ อย่าแบกขึ้นเตียงเข้านอนด้วยเด็ดขาด

         - ปรับเวลาเข้านอนให้เร็วขึ้น โดยทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทริกง่ายๆ คือเข้านอนก่อนเวลาปกติ 5 นาทีและขยับเวลาให้เร็วขึ้นทุกวันๆ ละ 5 นาที ถ้าทำได้อย่างนี้ 2 สัปดาห์ผ่านไปคุณก็สามารถเข้านอนได้เร็วกว่าเดิมตั้ง 1 ชั่วโมงแหนะ

         - นอนให้เพียงพอ แม้เฉลี่ยแล้วเราควรนอนให้ได้วันละ 8 ชั่วโมง แต่เวลานอนที่เพียงพอของแต่ละคนไม่เท่ากัน ดังนั้นกี่ชั่วโมงจะพอสำหรับคุณ คุณเท่านั้นที่รู้และเป็นผู้กำหนด

         - เตือนตัวเองให้เคร่งครัดกับเวลาใหม่ นิสัยการนอนใหม่ที่เราตั้งใจปรับเปลี่ยน

         - เลิกซะ นิสัยนอนดึก ในวันธรรมดาแล้วนอนชดเชยวันเสาร์-อาทิตย์ เพราะนั่นไม่ช่วยให้คุณภาพการนอนของคุณดีขึ้น แถมยังจะทำให้แผนการปรับเปลี่ยนเวลานอนของคุณไม่สัมฤทธิ์ผลด้วย

         - ถ้าตั้งใจจะเอ็กเซอร์ไซส์ช่วงเช้าอย่านอนดึก เพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บขณะออกกำลังกายได้

Tips for Morning Fresh

           1. เปิดรับแสงสว่าง แสงจากดวงอาทิตย์ถือว่าเวิร์กที่สุด ฉะนั้นเมื่อรู้สึกตัวตื่นควรเปิดม่าน หน้าต่าง หรือเดินออกไปรับแสงที่ระเบียง วิธีนี้จะช่วยระงับการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินที่ทำให้เรารู้สึกง่วงนอน แต่ถ้าต้องตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้นใช้แสงไฟช่วยก็พอไหว

           2. ปลุกความสงบนิ่งในจิตใจ ให้เวลา 5-10 นาทีทุกๆ เช้า สำหรับการทำโยคะหรือทำสมาธิ โดยหาที่เหมาะๆ ที่ไม่ใช่บนเตียง (เดี๋ยวจะแพ้แรงยั่วยวนของเตียงนุ่ม หมอนนิ่มจนล้มตัวลงนอนต่อ) หลับตาและจดจ่อกับลมหายใจเข้า-ออกที่ผ่านปลายจมูก หรือการยุบ-พองตัวของหน้าท้อง วิธีนี้จะปลุกพลังภายในและช่วยลดเครียดได้ค่ะ

           3. ปลุกร่างกายให้ตื่น การเคลื่อนไหวร่างกายและการหายใจช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนในร่างกายและศูนย์กลางประสาท ฉะนั้นเช้าๆ หลังตื่นนอนควรมีกิจกรรมกระตุ้นการเคลื่อนไหวร่างกายและลมหายใจ เช่น

         - ฝึกหายใจในจังหวะเร็ว โดยเริ่มจากหายใจเข้า-ออกยาวๆ ช้าๆ ก่อนสัก 3 รอบ แล้วค่อยเพิ่มจังหวะให้เร็วขึ้น ทำสัก 15 รอบ แต่ถ้ารู้สึกวิงเวียนให้หยุด คุณที่ยังไม่เคยฝึกหายใจแบบนี้ให้เริ่มต้นจากจังหวะช้าๆ ก่อนค่ะ

         - หาท่าออกกำลังง่ายๆ ที่มีการควบคุมการหายใจไปพร้อมกันด้วย เช่น ท่านี้ ยืนแยกเท้าเล็กน้อยแขนแนบลำตัว หายใจเข้าวาดแขนขึ้นเหนือศีรษะ / หายใจออก ก้มตัวลงพร้อมวาดแขนลงจนนิ้วแตะพื้น / หายใจเข้า-ออกยาวๆ / หายใจเข้า ยกตัวขึ้นพร้อมวาดแขนขึ้นเหนือศีรษะ / หายใจออกวาดแขนกลับมาแนบข้างลำตัว

          4. สดใสกับฟ้าเทอร์ควอยซ์ บางศาสตร์เชื่อว่าถ้าตื่นเช้ามาสิ่งแรกที่เห็นเป็นสีฟ้าเทอร์ควอยซ์จะทำให้เช้าวันนั้นสดชื่นขึ้น เพราะเชื่อว่าสีฟ้านี้แสดงถึงวันที่อากาศสดชื่นท้องฟ้าแจ่มใส นี่จึงทำให้เขานิยมทาสีกรอบประตูหน้าต่างเป็นสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ และบางทีก็แนะนำให้หาหินเทอร์ควอยซ์ กำไลมือ สร้อยคอหรือของที่เป็นสีฟ้าเทอร์ควอยซ์มาวางไว้หัวเตียง เมื่อลืมตาตื่นจะได้เห็นอะไรๆ ที่เป็นสีฟ้าเป็นอย่างแรก

           5. เขียวสดชื่นกับต้นไม้ในบ้าน เพิ่มพื้นที่สดชื่นให้กับบ้านด้วยต้นไม้เล็กๆ ริมระเบียงหรือสวนหน้าบ้าน ตื่นมารดน้ำทักทายต้นไม้สักหน่อย แค่นี้จิตใจคุณก็เบิกบานได้

           6. กิจกรรมรื่นรมย์ยามเช้า กิจกรรมเบาๆ เช่น เล่นกับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด เล่นกับลูก ให้อาหารปลา สนุกกับชุดสวย หรือแต้มแต่งสีสันให้ใบหน้าสวยสำหรับไปทำงาน ก็ช่วยให้อารมณ์คุณแจ่มใส และเริ่มต้นวันอย่างไม่มูดดี้ได้ดีทีเดียวค่ะ
           7. ลิ้มรสมื้อเช้าเบาๆ การกินมีผลกับอารมณ์ของคุณเหมือนกันค่ะ ถ้าเช้ามาได้อะไรรองท้องสักหน่อย เช่น น้ำผลไม้สักแก้ว ผลไม้สดๆ เล็กน้อย แซนวิช ก็ลดเรื่องหงุดหงิดได้ แต่ก็อย่าให้ถึงขั้นต้องเตรียมอะไรยุ่งยาก เพราะแทนที่จะแจ่มใสจะกลายเป็นหงุดหงิดเอาได้

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

สาว 6 อาชีพ กับเส้นเลือดขอด

เส้นเลือดขอด (Varicose Veins) หรือ Spider Vein เป็นหนึ่งในปัญหาที่ทำให้ผู้หญิงกลุ้มใจ แถมยังมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชาย 3 เท่าเลยทีเดียว! เส้นเลือดขอดมักเกิดตามผิวของขา ตั้งแต่บริเวณตาตุ่มขึ้นไปจนถึงขาหนีบด้านใน พบบ่อยบริเวณน่อง โดยเฉพาะกับผู้ที่ต้องใช้ขารับน้ำหนักตัวมาก คนอ้วน หญิงตั้งครรภ์ คนที่ต้องยกของหนักเป็นประจำ หรือคนที่ต้องยืนนานๆ เกิดเมื่อถึงวัยชรา เกิดจากกรรมพันธุ์ มีความผิดปกติของหลอดเลือดดำ-แดงที่ขา อักเสบอุดตัน หรือบางคนโชคไม่ดีอาจมีก้อนเนื้องอกในช่องท้อง หรืออุ้งเชิงกรานไปกดหลอดเลือดดำ เป็นต้น

สาเหตุที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด ดูเหมือนเส้นเลือดโป่งพองเห็นเป็นสีคล้ำเขียว-แดง และมีความยาวคดเคี้ยวขยุกขยิก เกิดจากการคั่งของเลือดในเส้นเลือดดำบริเวณขา ที่ปกติจะถูกบีบให้ไหลขึ้นสู่หัวใจ โดยอาศัยแรงบีบตัวของกล้ามเนื้อบริเวณขา ภายในหลอดเลือดดำจะมีลิ้นเล็กๆ อยู่ภายในๆ คอยกั้นเป็นช่วงๆ ไม่ให้เลือดย้อนกลับไปที่เท้า แต่เมื่อระบบไหลเวียนของเลือดทำงานไม่สะดวก ทำให้หลอดเลือดของขาขยายตัวกว้างขึ้น พลอยดึงให้ลิ้นถ่างออก เมื่อลิ้นไม่อาจปิดได้สนิท เลือดก็ทะลักไหลย้อนลงมาคั่งอยู่ในหลอดเลือดดำของขาบริเวณใกล้ผิวหนัง โดยอาการของเส้นเลือดขอดมีตั้งแต่เป็นน้อยๆ ไปจนเรียกว่าระยะรุนแรง คือผิวหนังบริเวณที่มีเส้นเลือดขอด แตกเป็นแผลอักเสบเรื้อรังมีน้ำเหลือง รักษาหายยาก และอาจมีเลือดออกรุนแรง

และหากจะพิจารณาถึงอาชีพของผู้หญิง ที่เสี่ยงเกิดเส้นเลือดขอดก็มักเป็น คุณครู นางพยาบาล แอร์โฮสเตส พนักงานขายในห้างสรรพสินค้า พนักงานเก็บค่าโดยสารรถประจำทาง และสาวออฟฟิศ ซึ่งด้วยหน้าที่การงานมีรายละเอียด ทำให้เข้าข่ายเสี่ยงดังนี้



คุณครู หรือที่เราเปรียบเทียบว่าเป็น “เรือจ้าง” เป็นอาชีพที่ต้องใช้ทักษะทางด้านสมอง กายและใจไปพร้อมๆ กัน นั่นคือการพูด-การเขียนอธิบายและถ่ายทอดความรู้ให้ลูกศิษย์ ต้องยืนสอนหน้าชั้นเป็นเวลาติดต่อกันหลายชั่วโมง ซึ่งอาชีพครูบ้านเราต้องใส่ชุดฟอร์มที่ทางโรงเรียนจัดให้ หรือไม่ก็ต้องแต่งกายเรียบร้อย ใส่ถุงน่อง และรองเท้าส้นสูง อันเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดได้ง่าย


สาวออฟฟิศ ฟังดูแล้วเป็นอาชีพที่เสี่ยงเป็นเส้นเลือดขอดน้อยที่สุด แต่คุณทราบหรือไม่ว่า การที่นั่งโต๊ะนานๆ ด้วยการนั่งไขว่ห้างนี้เอง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด หรือสาวออฟฟิศบางคนชะล่าใจ คิดว่าตนเองไม่ต้องยืนเป็นเวลานานๆ ก็ใส่ร้องเท้าส้นสูงรับกับกระแสแฟชั่น แต่กลับลืมไปว่าบางครั้งก็ต้องเดินไปมา เพื่อติดต่อเอกสารหรือฝ่ายต่างๆ ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดแบบไม่รู้ตัวก็มี


พนักงานเก็บค่าโดยสารรถประจำทาง นอกจากจะต้องสูดดมควันจากท่อไอเสีย และอยู่ในสภาพที่มีคนแออัดตลอดเวลา ก็ยังต้องเดินและยืนเก็บค่าโดยสารตลอดสายครั้งละหลายชั่วโมง แถมยังต้องทรงตัวให้ดีเมื่อยามรถจอดหรือเบรกอีกต่างหาก



พนักงานขายในห้างสรรพสินค้า / พนักงานต้อนรับ การยืนเรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของอาชีพนี้ก็ว่าได้ เนื่องจากการยืน หมายถึง ความพร้อมและความเต็มใจของพนักงานที่จะให้บริการ เพื่อสร้างความประทับใจแก่ลูกค้า โดยเฉลี่ยแล้วอาจจะต้องยืนติดต่อกัน ประมาณ 6-8 ชั่วโมงเลยทีเดียว!



แอร์โฮสเตส เป็นอาชีพหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากจากสาวๆ ในปัจจุบัน เพราะแรงจูงใจในเรื่องของค่าตอบแทน และโอกาสท่องเที่ยว แต่อาชีพนางฟ้าก็ต้องแลกกับการยืนและเดินนานๆ เพื่อดูแลผู้โดยสารตลอดชั่วโมงบิน และที่สำคัญยังต้องเผชิญกับภาวะความดันทางอากาศ จากการขึ้น-ลงเครื่องบินเป็นประจำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดมากกว่าอาชีพอื่นๆ ทางป้องกันที่ดีที่สุด คือการเปลี่ยนรองเท้าส้นเตี้ย ขณะบริการเสิร์ฟอาหารแก่ผู้โดยสาร หมั่นเดินไปมาเพื่อเพิ่มระบบหมุนเวียนโลหิต และควรใส่ถุงน่องที่รัดและกระชับใต้เข่า


นางพยาบาล เป็นวิชาชีพที่ต้องใช้ทักษะการบริการทางการแพทย์ไปพร้อมๆ กับใจที่รักการบริการ ความรับผิดชอบของนางพยาบาลบ้านเรานั้น มีตั้งแต่การเป็นผู้ช่วยแพทย์ระหว่างการตรวจรักษา การเดินดูแลพยาบาคนป่วย การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย งานเดินเอกสาร ฯลฯ ดังนั้นอาชีพนี้ จึงต้องอาศัยความอดทนและคล่องตัวสูง ทำให้เท้าต้องรับน้ำหนักตัวตลอดวัน ดังนั้น จะเห็นได้ว่านางพยาบาลหลายคนใส่ผ้ายืดหรือ support รัดน่อง เพื่อป้องกันไว้ก่อน

ทั้งนี้ หากว่าคุณมีเส้นเลือดขอด ก็อย่าเพิ่งตระหนก เพราะหากคุณไม่มีอาการปวดหรือบวมร่วม ก็อาจไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ก็ป้องกันและบรรเทาได้ หรือสำหรับคนที่มีอาการปวด ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นมากจนรักษาไม่ได้ เพราะปัจจุบันเรามีการรักษาแบบไม่ผ่าตัดและผ่าตัด ที่เหมาะต่ออาการของแต่ละคน

วิธีป้องกันการเกิดเส้นเลือดขอด

ถ้าคุณเป็นคนอ้วนควรลดน้ำหนักเป็นอันดับแรก เพื่อลดแรงกดน้ำหนักลงที่เท้าและขา


หลีกเลี่ยงการยืน หรือการนั่งเฉยๆ หรือนั่งไขว่ขาเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อไม่บีบตัวไล่เลือด ในกรณีที่อาชีพการงานบังคับ ต้องอาศัยการออกกำลังกายผ่อนคลายกล้ามเนื้อน่อง และขา โดยการเขย่งปลายเท้าขึ้นและลง หรือการบีบและคลายนิ้วเท้าทุกครึ่งชั่วโมง และพอถึงช่วงที่ได้นั่งพัก ให้ถอดรองเท้าส้นสูงออก นั่งลงบนเก้าอี้ หลังตรงและยกขาขึ้นหนึ่งข้างให้สูงระดับสะโพก และหมุนข้อเท้าเป็นวงกลมไปมา จากนั้นให้งุ้มเท้าชี้ขึ้นและลง จากนั้นทำสลับอีกข้าง


หลีกเลี่ยงการใส่ถุงเท้ายาวหรือถุงน่องที่รัดเหนือเข่า ซึ่งทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดไหลไม่สะดวก ในกรณีที่จำเป็นต้องสวมถุงเท้าหรือถุงน่อง ควรเลือกเนื้อผ้าที่มีความยืดหยุ่น และเลือกแบบที่ขอบถุงเท้าหรือถุงน่อง รัดห่างใต้เข่าประมาณ 2 นิ้ว

การรักษาแบบไม่ผ่าตัด        


     ส่วนใหญ่แพทย์แนะนำเพื่อบรรเทาอาการปวด บวม มากกว่าเรื่องของความสวยงาม ซึ่งในกรณีที่เป็นเส้นเลือดขอดไม่มาก สามารถใช้ครีมนวดรักษาหรือบรรเทาได้ แต่กรณีที่มีอาการปวด แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำที่ขอด เพื่อสลายหลอดเลือดที่แข็งตัวและตีบตัน ให้ไหลเวียนไปสู่หลอดเลือดอื่นบริเวณรอบๆ ได้ แต่ก็ไม่ใช่วิธีรักษาที่หายขาดภายในครั้งเดียว อาจต้องฉีดซ้ำหลายครั้งหาก เป็นมาก และไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก โดยหลังการรักษาจำเป็นต้องสวมผ้ารัดหรือถุงน่อง เพื่อบีบให้ผนังหลอดเลือด กระชับ จนกว่าบริเวณที่ฉีดยาจะบวมน้อยลง และเวลานอนพักต้องใช้หมอนหนุน ยกระดับเข่าให้สูงกว่าสะโพก และปลายเท้าสูงกว่าระดับเข่า
     
การรักษาแบบผ่าตัด
           เป็นการผ่าตัดในกรณีที่เส้นเลือดขอดเกิดภาวะอุดตันภายในหลอดเลือด และอาจส่งผลอันตรายต่ออวัยวะอื่นๆ โดยแพทย์จะให้ยาชาก่อนการผ่าตัด และใช้เครื่องมือเข้าไปผูกเส้นเลือดที่ขอด แล้วดึงหลอดเลือดดำที่ขอดออกเป็นบางส่วน หรือการผ่าดึงหลอดเลือดดำที่ขอดทั้งเส้น โดยหลังการผ่าตัดจะมีอาการเท้าบวม มีเลือดออกหรือเจ็บแผล และจำเป็นต้องใส่ผ้ารัดหรือถุงน่องพยุงต่อประมาณ 6 ถึง 8 สัปดาห์ 

          การรักษาเส้นเลือดขอดไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม ไม่สามารถรับประกันว่าจะไม่เกิดเส้นเลือดขอดใหม่ 100% และแพทย์อาจให้การรักษามากกว่า 1 วิธีร่วมกัน เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาให้ได้ผลดีมากที่สุด และที่สำคัญบริเวณที่เป็นเส้นเลือดขอด มีอาการปวดหรือบวม คุณควรไปปรึกษาแพทย์ทันที



ดูแลถูกวิธี สุขภาพดวงตา



ดวงตา เป็นอวัยวะสัมผัสที่สำคัญที่สุด สามารถรับรู้ได้ ในระยะที่ไกลกว่าอวัยวะสัมผัสอื่นๆ กล่าวคือ ผิวหนังและลิ้นจะรับความรู้สึก เมื่อไปสัมผัสถูก จมูกจะได้กลิ่น เมื่อของอยู่ใกล้ๆ หูจะได้ยิน เมื่อเสียงอยู่ในระยะไม่ไกลนัก ส่วนตาสามารถมองเห็นได้ ที่ระยะไกลกว่า บอกรายละเอียดได้รวดเร็วกว่า ก็ดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า ที่เราเห็นเวลากลางคืนนั้น อยู่ไกลเท่าไรเรายังมองเห็น กล่าวกันว่าการเรียนรู้ของคนเรา อาศัยการมองเห็น ถึงร้อยละ 80 ผู้ที่ตาบอด จึงขาดโอกาสในการเรียนรู้มากกว่า หากให้คุณเลือกว่าจะยอมตาบอด หรือหูหนวก หรือจมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส หลายๆ คนคงขอไม่ตาบอดมากที่สุด เพราะตาบอดทำให้ขาดโอกาสเรียนรู้ พึ่งตนเองไม่ได้ ต้องอาศัยคนอื่นช่วย ตาบอดแม้จะไม่ทำให้เสียชีวิต แต่ประสิทธิภาพของการทำงานลดลง สังคมที่มีคนตาบอดมาก ย่อมบั่นทอนประสิทธิภาพ ของทรัพยากรมนุษย์โดยรวม ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำลง การดูแลสุขภาพตา เพื่อให้ตามองเห็นได้ดีตลอดชีวิต จึงเป็นสิ่งจำเป็น
แน่นอนที่สุขภาพทั่วไปโดยรวมที่ดี อันเกิดจากการรับประทานอาหารครบทุกหมู่ ในจำนวนพอเหมาะ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนตามสมควร ทำจิตใจให้สบายไม่เคร่งเครียดจนเกินไป สุขภาพโดยรวมดี จะมีผลสะท้อนให้สุขภาพตาดีด้วย มีข้อเสนอ-แนะบางอย่าง ที่จะช่วยถนอมสายตาให้ดีอยู่ตลอดไป และข้อแนะนำบางอย่าง ที่คนทั่วไปมักจะเข้าใจผิดบ่อยๆ ดังนี้

พึงจำไว้ว่าโรคตาส่วนมากคล้ายๆ กับโรคทางร่างกายทั่วไป ที่ถ้ารักษาแต่เริ่มแรก มักจะรักษาได้ อย่าปล่อยไว้นานจนเกินควรจะแก้ไข ถ้าคุณไม่ทราบ จักษุแพทย์ทุกท่านยินดีให้คำปรึกษา และช่วยเหลืออยู่แล้ว

เมื่อมีอาการผิดปกติทางตา เช่น ตาแดง ปวดตา ตามัว น้ำตาไหล เห็นภาพบิดเบี้ยว เห็นสีผิดเพี้ยน ควรปรึกษาจักษุแพทย์
หากคุณต้องทำงานที่เสี่ยงอุบัติเหตุ ควรสวมแว่นนิรภัย ถ้าเป็นช่างอ๊อกเหล็ก ช่างเชื่อมโลหะ ต้องสวมแว่น หรือสวมหน้ากากป้องกันทุกครั้ง ฝึกให้ทำเป็นนิสัย เท่าที่เห็นมีอยู่จำนวนมาก บอกว่าขี้เกียจใช้แว่น ไม่เคยใส่เพราะว่ามันเกะกะ รู้สึกไม่สะดวก ถ้าทำให้เคยแล้วทุกอย่างจะง่ายขึ้น ถ้าคุณต้องตากแดด ทำงานกลางแจ้ง ทำงานในที่มีฝุ่นละอองมาก ควรใช้แว่นกันแดดช่วย อย่าใช้แว่นกันแดดเพียงเพื่อตามแฟชั่น แว่นกันแดดนอกจากจะกันฝุ่นละออง ยังปกป้องดวงตาจากแสง หรือรังสีซึ่งมองไม่เห็นด้วยตา ซึ่งสามารถทำลายดวงตาอย่างช้าๆ
เมื่อมีเหตุสุดวิสัย สารเคมีหรือน้ำยาอะไรเข้าตา การรักษาเบื้องต้นที่ควรจะทำคือ ล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที
หากบังเอิญมีฝุ่นหรือผงเข้าตา อย่าขยี้ตา บางคนอาจจะคิดว่าเคยเอามือขยี้และถูตา หลังจากรู้สึกมีผงเข้าตาแล้ว ผงจะหลุดออกมาเอง ที่ถูกไม่เป็นเช่นนั้น เพราะการขยี้ตาอาจทำให้ตาดำถลอก ยุ่งยากในการรักษา อีกทั้งผงที่แหลมคมอาจฝังลึกลงไป เมื่อมีผงเข้าตา ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาด หรือลืมตาในน้ำ หากยังเคืองตาอยู่ ให้ผู้อื่นดูว่ามีผงติดอยู่ที่บริเวณใดในตาหรือไม่ ถ้าเป็นเศษผงติดที่ตาขาว อาจใช้น้ำล้างตาหรือไม้พันสำลี เขี่ยเศษผงให้ออกจากตาได้โดยไม่ยาก ถ้าพยายามแล้วไม่ออก หรือผงติดอยู่ที่ตาดำ ไม่ควรพยายามเอาออกเอง เนื่องจากจะทำให้เจ็บมากเอาออกไม่ได้ อาจทำให้ผงยิ่งฝังลึกลงไป ทำให้เอาออกยากขึ้น
ในภาวะปกติ คนเรานี้มีน้ำตาหล่อเลี้ยงดวงตา ซึ่งหลั่งมาจากต่อมต่างๆ อยู่แล้ว น้ำตานี้จะชะล้างสิ่งแปลกปลอม ตลอดจนชะสิ่งสกปรกออกอยู่ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องล้างตาทุกวัน บางคนเข้าใจผิดว่าเมื่อเรายังล้างหน้า อาบน้ำทุกวัน ก็น่าจะต้องล้างตา เพื่อความสะอาดของดวงตาด้วย เป็นความเข้าใจที่ผิด การล้างตาด้วยน้ำยาล้างตา กลับจะเป็นการไล่เอาน้ำตาจากธรรมชาติ ซึ่งดีกว่าน้ำยาล้างตา ที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดมาก ควรล้างตาเฉพาะในภาวะผิดปกติ ที่น้ำตาออกมาชะล้างไม่ทัน เช่น มีฝุ่นผง หรือสารเคมีเข้าตา
ไม่ควรซื้อยาหยอดตามาใช้เอง หรือใช้ยาหยอดของผู้อื่น เพียงรู้สึกว่ามีอาการผิดปกติเหมือนกัน ยาหยอดตาควรจะเป็นของเฉพาะตัว ถึงแม้ว่าเมื่อคุณใช้ยาบางตัวแล้ว จะรู้สึกสบายตาดีก็ตาม ยาเกือบทุกชนิดที่มีคุณค่า ทำให้เราสบายตาหรือหายจากโรค มักจะมีผลแทรก-ซ้อนเล็กๆ น้อยไปจนถึงมาก บางคนหลงใช้ยาหยอดตารักษาอาการเล็กๆ น้อยๆ แต่นานเข้าเกิดผลแทรกซ้อนจากยานั้น โดยเกิดโรคตาที่รุนแรงกว่า โดยเฉพาะยาในกลุ่มสเตียรอยด์ ซึ่งทำให้สบายตา ตาหายแดง บางคนว่าหยอดแล้วตาหวาน แต่อาจก่อให้เกิดต้อกระจก ต้อหินในบางคนได้
ถ้าคุณมีบรรพบุรุษเป็นโรคตา ที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ เช่น ต้อหิน จอตาส่วนกลางเสื่อม คุณควรขอคำแนะนำจากแพทย์ เพื่อเฝ้าระวังที่โรคเหล่านั้น ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับคุณได้เช่นกัน การตรวจพบโรคแต่ระยะต้น จะทำให้การรักษาง่ายกว่า
ถ้าคุณเป็นเบาหวาน นอกจากจะควบคุมเบาหวานให้ดีแล้ว ควรหมั่นพบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจจอตาอย่างน้อยปีละครั้ง คนที่เป็นเบาหวาน จอตาอาจเสื่อมจากโรคเบาหวานได้ แม้จะควบคุมเบาหวานอย่างดีมาตลอดก็ตาม หากเบาหวานทำลายจอตาในระยะต้น ก็ยังสามารถรับการแก้ไขได้ โดยใช้แสงเลเซอร์สกัดกั้น มิให้โรคลุกลาม นอกจากนี้ ถ้าคุณบังเอิญเป็นโรคทางร่างกายบางอย่าง ที่ต้องใช้ยารักษาเป็นเวลานานๆ เช่น วัณโรค โรคเอสแอลอี โรคข้อ โรคผิวหนังบางชนิด ตลอดจนโรคไต ยารักษาโรคดังกล่าวอาจทำลายจอตาได้ จึงควรรับการตรวจตาอย่างละเอียดด้วยเสมอ
ถึงคุณเป็นคนสายตาสั้นมาก ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคตาหลายอย่าง ที่แฝงมากับภาวะสายตาสั้น ได้แก่ ต้อหิน จอตาฉีกขาด
จอตาหลุดลอก น้ำวุ้นในตาเสื่อม ซึ่งล้วนแต่เป็นโรครุนแรงทำให้ตาบอดได้ จึงควรศึกษาอาการของโรคดังกล่าว และรับการตรวจจากจักษุแพทย์ หากสงสัยหรืออย่างน้อยรับการตรวจตาปีละครั้ง
ดื่มของมึนเมา น้ำชา กาแฟแต่พอควร แม้จะไม่มีโทษต่อตาโดยตรง แต่ถ้าดื่มมากเกินไป อาจทำให้ประสาทตาเสื่อมได้ โดยเฉพาะเหล้าเถื่อนประเภทเมธิลแอลกอฮอล์ สามารถทำลายประสาทตาทำให้ตาบอดได้






ที่มา http://www.yourhealthyguide.com/article/as-eye-healthy-care.html